1. ศีลที่เป็นกุศล: การรักษาศีลอย่างบริสุทธิ์เป็นพื้นฐานของความดีงามในชีวิต นำมาซึ่งผลคือความไม่มีความคับแค้นใจ (อวิปปฏิสาร)
2. อวิปปฏิสาร: การไม่คับแค้นใจทำให้เกิดความปลื้มปิติใจ (ปราโมทย์) อันเป็นผลจากความสบายใจในความประพฤติที่ดีงาม
3. ปราโมทย์: ความปลื้มปิติใจนำมาซึ่งความอิ่มเอิบยินดี (ปีติ) ที่ละเอียดขึ้น
4. ปีติ: ความอิ่มเอิบนี้ส่งผลให้จิตสงบ (ปัสสัทธิ) และเบาใจ
5. ปัสสัทธิ: ความสงบใจส่งผลให้เกิดสุขทางใจที่ลึกซึ้ง (สุข)
6. สุข: สุขนี้ทำให้จิตตั้งมั่น (สมาธิ) ซึ่งเป็นรากฐานของการพิจารณาเห็นตามความเป็นจริง
7. สมาธิ: สมาธิทำให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริงในสภาวะทั้งปวง (ยถาภูตญาณทัสสนะ)
8. ยถาภูตญาณทัสสนะ: ความรู้แจ้งนี้นำไปสู่ความหน่ายในกิเลส (นิพพิทา) และคลายความยึดมั่นในสังขาร (วิราคะ)
9. นิพพิทาวิราคะ: เมื่อเกิดความหน่ายและคลายกำหนัด จะนำไปสู่การหลุดพ้น (วิมุตติ) และความรู้แจ้งในภาวะหลุดพ้น (วิมุตติญาณทัสสนะ)
10. วิมุตติญาณทัสสนะ: การรู้แจ้งในภาวะหลุดพ้นนี้เป็นอานิสงส์สูงสุดของศีล นำไปสู่อรหัตผล
สรุป:
พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นว่า ศีลเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาจิตและปัญญา นำไปสู่ความหลุดพ้นจากทุกข์อย่างเป็นลำดับ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการเริ่มต้นจากศีลที่ดี ย่อมนำไปสู่สมาธิและปัญญาที่ลึกซึ้ง และท้ายที่สุดนำไปสู่การบรรลุพระนิพพาน
สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่: https://suttacentral.net/an10.1
[There may be an occasional error in linking to the correct sutta due to the available training data.]
Meriko Kojic X Glutaplus Body Cream วิตามิน C,E
ช่วยให้ผิวดูขาวกระจ่างใสใน 7 วัน! ซื้อ 2 กระปุกใหญ่ ในราคาเพียง 590 บาท จากปกติ 1,180 บาท
สั่งซื้อเลย
No comments:
Post a Comment
Note: only a member of this blog may post a comment.