Sunday 20 October 2024

ความหมายและความสำคัญของบทสวดอิติปิโสในพุทธศาสนา-The meaning and significance of the Itipiso prayer in Buddhism.

อิติปิโส

บทสวด "อิติปิโส" เป็นบทสวดสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในพุทธศาสนาเถรวาท บทนี้ถูกใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาต่างๆ รวมถึงการสวดมนต์ในชีวิตประจำวันของชาวพุทธ เป็นการสรรเสริญถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า โดยการระลึกถึงคุณธรรมสูงสุดที่พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญมา

บทสวดอิติปิโส:

อิติปิ โส ภควา อรหัง สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุทฺโธ ภควาติ

คำแปล:

“เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีใครยิ่งกว่า เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระผู้มีพระภาคเจ้า”


 การสรรเสริญคุณธรรมสำคัญของพระพุทธเจ้าในบทอิติปิโส


1. อรหัง: พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้สิ้นกิเลสโดยสิ้นเชิง ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้ท่านกลับเข้าสู่สังสารวัฏอีก พระองค์เป็นผู้หลุดพ้นจากความโลภ ความโกรธ และความหลง


2. สัมมาสัมพุทโธ: พระพุทธองค์เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง ไม่ต้องมีครูบาอาจารย์สอน ทรงบรรลุถึงสัจธรรมของชีวิตและการดับทุกข์


3. วิชชาจรณสมฺปนฺโน: พระพุทธองค์เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชา (ความรู้ที่สมบูรณ์) และจรณะ (การประพฤติที่บริสุทธิ์) แสดงถึงการมีความรู้ลึกซึ้งและการประพฤติปฏิบัติที่ดีงามควบคู่กัน


4. สุคโต: พระพุทธองค์เป็นผู้ไปดีแล้ว ทรงมุ่งหน้าสู่จุดหมายอันสูงสุดแห่งนิพพาน และยังเป็นผู้ไปในทางที่ดีงาม ถูกต้อง


5. โลกวิทู: พระพุทธองค์เป็นผู้รู้แจ้งโลก ไม่เพียงแค่ทางปัญญา แต่ยังรวมถึงการเข้าใจธรรมชาติของจิตใจและธรรมชาติของความทุกข์ในโลกนี้


6. อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ: พระพุทธองค์เป็นสารถีที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการฝึกสอนบุรุษที่ควรฝึก ทรงมีความสามารถในการแนะนำและนำพาผู้คนให้หลุดพ้นจากความทุกข์


7. สตฺถา เทวมนุสฺสานํ: พระพุทธองค์เป็นครูของทั้งเทวดาและมนุษย์ แสดงถึงบทบาทของท่านในฐานะผู้สอนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกและสวรรค์


8. พุทฺโธ: พระพุทธองค์ทรงเป็น "ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน" ด้วยสติปัญญาอันบริสุทธิ์ที่ได้ตรัสรู้ถึงสัจธรรม


9. ภควา: พระพุทธองค์เป็นผู้มีภาคยศ (มีความเจริญรุ่งเรืองในคุณธรรม) แสดงถึงความเป็นพระอรหันต์และความสมบูรณ์ทางจิตวิญญาณ


 ปรากฏในพระไตรปิฎก

บทสวด "อิติปิโส" มีความสำคัญในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า (พุทธานุสสติ) ปรากฏใน พระวินัยปิฎก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระไตรปิฎก นอกจากนี้ การระลึกถึงพระพุทธคุณที่กล่าวในบทสวดนี้ยังเป็นแนวทางในการฝึกฝนจิตใจของผู้ปฏิบัติ เป็นการตั้งจิตสำนึกให้ระลึกถึงคุณธรรมสูงสุดที่พระพุทธองค์ทรงบรรลุ และเป็นการเสริมสร้างสติ สมาธิ และปัญญา


การสวดมนต์ "อิติปิโส" ยังเป็นการเจริญสติอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเจริญ พุทธานุสสติ ซึ่งหมายถึงการระลึกถึงพระพุทธเจ้าเพื่อสร้างศรัทธาและสมาธิในจิตใจของผู้สวด ด้วยการระลึกถึงคุณธรรมอันสูงส่งของพระพุทธเจ้า ผู้ปฏิบัติจึงสามารถปล่อยวางกิเลสและพัฒนาปัญญาในการพิจารณาธรรม


 ความสำคัญในพุทธศาสนา

บทสวดอิติปิโสไม่เพียงแต่ใช้ในการสวดมนต์หรือพิธีกรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องเตือนใจให้ชาวพุทธได้น้อมระลึกถึงคุณธรรมและความเป็นพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ท่านทรงเป็นแบบอย่างในการดำรงชีวิตที่ปราศจากกิเลส และทรงชี้ทางสว่างให้กับผู้ที่ต้องการหลุดพ้นจากทุกข์


การระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้าโดยการสวด "อิติปิโส" จึงเป็นการบ่มเพาะคุณธรรมในใจผู้ปฏิบัติ และเป็นวิธีการที่ช่วยให้จิตใจสงบและมีสติพร้อมที่จะปฏิบัติธรรมในทุกวัน


Saturday 12 October 2024

สัตว์ในสังสารวัฏ: ความหมาย เหตุให้เกิด ลักษณะของการเกิด และคติ ๕: Animals in samsara: The meaning of the nature of birth and motto 5

 

 ๙. ความหมายของคำว่า “สัตว์”  
ในทางพระพุทธศาสนา คำว่า "สัตว์" หมายถึง สิ่งมีชีวิตที่มีจิตใจหรือวิญญาณ ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนการเกิดและการดำรงอยู่ในภพต่าง ๆ ทั้งนี้ "สัตว์" ในที่นี้ไม่จำกัดเฉพาะมนุษย์ แต่รวมถึงสัตว์เดรัจฉาน เทวดา และสรรพสิ่งในวัฏจักรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด หรือ สังสารวัฏ.

 ๑๐. เหตุให้มีการเกิด  
การเกิดของสัตว์ทั้งหลายนั้นมีเหตุปัจจัยมาจาก อวิชชา (ความไม่รู้) และ ตัณหา (ความทะยานอยาก) ที่เป็นรากเหง้าของการเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ โดยอวิชชาเป็นเหตุให้เกิดความยึดมั่นในตนและสิ่งต่าง ๆ ส่วนตัณหาทำให้จิตยึดถือและต้องการในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสต่างๆ ซึ่งเมื่อเกิดความยึดติดก็เป็นเหตุให้ต้องเวียนเกิดเวียนตายต่อไป

พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องนี้ใน ปฏิจจสมุปบาท ซึ่งแสดงถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้มีการเกิด (ชาติ) โดยเริ่มจาก อวิชชา นำไปสู่การกระทำ (กรรม) ที่ทำให้เกิดผล คือการเกิดในภพใหม่

 “เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี... เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี”

 ๑๑. ลักษณะของการเกิด  
ลักษณะของการเกิดมีหลายรูปแบบตามภพภูมิที่สัตว์เวียนว่ายอยู่ เช่น การเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา สัตว์เดรัจฉาน หรือในนรก ขึ้นอยู่กับกรรมที่กระทำในอดีตชาติ การเกิดนี้ไม่จำเป็นต้องหมายถึงการเกิดทางกายภาพเสมอไป แต่ยังหมายถึงการเกิดในภาวะทางจิตใจ เช่น การเกิดความโกรธ ความหลง หรือความสุข ซึ่งเป็นผลจากเหตุปัจจัยทางจิตใจและกรรม

 ๑๒. กายแบบต่างๆ  
ในคำสอนของพระพุทธเจ้า ทรงกล่าวถึงกาย 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ  
1. รูปกาย คือร่างกายทางกายภาพที่เราสามารถเห็นและสัมผัสได้
2. นามกาย คือกายทางจิตที่ประกอบด้วยจิตใจ ความรู้สึก ความจำ และการรับรู้ (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)

สัตว์ที่เกิดในภพภูมิต่างๆ อาจมีลักษณะของกายแตกต่างกันตามภพภูมิที่อยู่ เช่น เทวดามีรูปกายละเอียดกว่ามนุษย์ แต่ยังมีความทุกข์และการเกิดดับเช่นกัน

 ๑๓. คติ ๕ และอุปมา  
คติ ๕ หมายถึงภพภูมิที่สัตว์สามารถเกิดได้ตามกรรม ได้แก่  
1. นรกภูมิ – ที่อยู่ของสัตว์ที่ทำกรรมหนัก ต้องเสวยทุกข์  
2. เปรตภูมิ – ที่อยู่ของสัตว์ผู้มีความทุกข์และความหิวโหย  
3. อสุรกายภูมิ – ที่อยู่ของสัตว์ที่มีความทุเรศและทุกข์ทรมาน  
4. สัตว์เดรัจฉานภูมิ – ที่อยู่ของสัตว์ที่ต้องเวียนว่ายอยู่ในโลก  
5. มนุษย์ภูมิ – ภพภูมิของมนุษย์ที่มีโอกาสสร้างบุญบารมี

อุปมา พระพุทธเจ้าทรงใช้การเปรียบเทียบหลายอย่าง เช่น การเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏดั่งใบไม้ที่ร่วงหล่นหรือท้องทะเลที่ไม่มีที่สิ้นสุด สะท้อนถึงความยากลำบากในการหลุดพ้นจากวัฏจักรแห่งการเกิดดับ

ความหมายของภพและการเกิดใหม่ในพระพุทธศาสนา: ภพ, ตัณหา, กรรม และวิญญาณ-The Meaning of Existence and Rebirth in Buddhism:

 

 ๑. ภพเป็นอย่างไร

ในพระพุทธศาสนา "ภพ" หมายถึง การมีอยู่ของรูปหรือสภาพความเป็นตัวตนในสามภพ ซึ่งแบ่งเป็น 3 อย่าง ได้แก่:

1. กามภพ - ภพที่เกิดขึ้นในภพที่ยังมีความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส และสิ่งสัมผัส

2. รูปภพ - ภพของผู้ที่เกิดในสภาวะที่มีรูป แต่ปราศจากความยินดีในกาม

3. อรูปภพ - ภพที่เกิดขึ้นในสภาวะที่ไม่มีรูป มีเพียงจิตล้วนๆ 

ใน มัชฌิมนิกาย มหาตัณหาสังขยสูตร พระพุทธเจ้าตรัสถึงภพว่า ภพคือการเกิดของอัตตาและสรรพสิ่งที่สืบต่อในรูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, และวิญญาณ นี่คือภพที่ก่อให้เกิดการเกิดใหม่ในวัฏฏะ.

 ๒. ความมีขึ้นแห่งภพ (นัยที่ ๑)

การมีขึ้นของภพเกิดจาก ตัณหา (ความอยาก) ที่เป็นสาเหตุสำคัญ ซึ่งเป็นต้นเหตุของความมีภพใหม่ ตัณหาแบ่งเป็น 3 อย่าง:

1. กามตัณหา - ความอยากในกาม

2. ภวตัณหา - ความอยากในความเป็นและการมีอยู่

3. วิภวตัณหา - ความอยากไม่ให้มีหรือไม่เป็น 

ใน สังยุตตนิกาย นิทานสังยุตต์ (SN 12.2), พระพุทธเจ้าตรัสว่า "เพราะตัณหาจึงมีภพ" ซึ่งหมายความว่า ตัณหาทำให้เกิดความติดในชีวิต และนำไปสู่การเวียนว่ายในวัฏฏะสงสาร.

 ๓. ความมีขึ้นแห่งภพ (นัยที่ ๒)

ในอีกนัยหนึ่ง ความมีขึ้นของภพยังเกิดจาก กรรม ที่กระทำไว้ทั้งดีและชั่ว กรรมเหล่านี้เป็นพลังงานที่ส่งผลให้เกิดการมีภพใหม่ตามสมบัติของกรรมที่ได้กระทำไว้ ดังที่กล่าวใน อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต (AN 3.76) พระพุทธเจ้าตรัสว่า: "สิ่งที่ยึดถือไว้ย่อมไปสู่ภพ กรรมเป็นสิ่งที่นำไปสู่การเวียนว่ายอยู่ในภพใหม่".

 ๔. เครื่องนำไปสู่ภพ

เครื่องนำไปสู่ภพ คือ ตัณหา ที่ขับเคลื่อนให้เกิดการยึดมั่นในสังขาร และก่อให้เกิดภพใหม่ ซึ่งจะนำไปสู่ความเกิด, แก่, เจ็บ, และตาย การมีเครื่องยึดเหนี่ยวเป็นความอยากในภพนั้นทำให้คนยังเวียนว่ายในสังสารวัฏต่อไป.

ใน สังยุตตนิกาย นิทานสังยุตต์ (SN 12.2) พระพุทธเจ้าตรัสว่า: "ตัณหาคือรากเหง้าและเหตุที่ก่อให้เกิดภพ, การมีอยู่ของชีวิต". 

 ๕. ความเกิดขึ้นแห่งภพใหม่

การเกิดภพใหม่เกิดขึ้นจากการที่วิญญาณยึดติดกับขันธ์ทั้งห้า ซึ่งเกิดจากการยึดมั่นในกาม, ภวะ, และวิภวะ. ภพใหม่เกิดขึ้นจากวิญญาณที่ยังติดอยู่ในกิเลสและกรรมที่ได้กระทำมา. 


 ๖. ที่ตั้งอยู่ของวิญญาณ (นัยที่ ๑)

วิญญาณต้องอาศัย รูปขันธ์ (เช่น ร่างกาย) และ จิต เพื่อให้ดำรงอยู่ วิญญาณจึงเกิดและตั้งอยู่ได้ต้องมีสภาวะที่เกิดจากการกระทำของขันธ์ทั้งห้า ดังที่กล่าวไว้ใน มหาตัณหาสังขยสูตร ว่า "วิญญาณย่อมเกิดขึ้นด้วยอาศัยปัจจัยทั้งหลาย".


 ๗. ที่ตั้งอยู่ของวิญญาณ (นัยที่ ๒)

อีกนัยหนึ่ง วิญญาณต้องการการยึดเหนี่ยวในกิเลสและตัณหาที่เป็นพลังงานทางจิต วิญญาณนี้จะไม่สามารถตั้งอยู่ได้หากปราศจากเครื่องยึดเหนี่ยว เช่น กามตัณหา หรือภวตัณหา.


 ๘. ความมีขึ้นแห่งภพ แม้มีอยู่ชั่วขณะก็น่ารังเกียจ

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ภพนั้นเต็มไปด้วยทุกข์ แม้จะมีเพียงชั่วครู่ชั่วยามก็น่ารังเกียจ เพราะภพคือการเกิดใหม่ การเกิดใหม่ย่อมนำไปสู่ความทุกข์ในการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสังสาร เช่นใน ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ที่กล่าวว่า "ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บป่วยเป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์".

การมีอยู่ของภพในแต่ละขณะ คือการเวียนว่ายในทุกข์


Tuesday 8 October 2024

Fortune Telling Articles หมอดู: มิจฉา หรือ สัมมาทิฏฐิ? มองผ่านเลนส์แห่งพระไตรปิฎก

หมอดู

บทความ: หมอดู: มิจฉา หรือ สัมมาทิฏฐิ? มองผ่านเลนส์แห่งพระไตรปิฎก

การพึ่งพาหมอดูเพื่อทำนายอนาคตหรือแก้ไขปัญหาชีวิตเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไปในสังคมไทยและหลายสังคมทั่วโลก แต่คำถามที่น่าสนใจคือ การกระทำเช่นนี้สอดคล้องกับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาหรือไม่? บทความนี้จะพยายามวิเคราะห์แนวคิดเรื่องหมอดู โดยใช้หลักธรรมในพระไตรปิฎกเป็นตัวตั้ง เพื่อให้ผู้อ่านได้พิจารณาอย่างรอบด้าน

หมอดูในสายตาของพระพุทธศาสนา

พระพุทธศาสนาสอนให้พึ่งพาตนเองและกรรมที่ตนได้กระทำมา การพึ่งพาสิ่งภายนอก เช่น การไปดูดวง หรือขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้ชีวิตราบรื่นนั้น ถือเป็นการหลงผิดและไม่เป็นไปตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

  • ความไม่แน่นอนของอนาคต: พระพุทธศาสนาสอนว่าอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับกรรมที่เราได้กระทำมา และปัจจุบันที่เราสร้างขึ้น การพยายามจะรู้ล่วงหน้าว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร จึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ และอาจทำให้เราหลงใหลในสิ่งที่ไม่แน่นอน
  • การพึ่งตนเอง: พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราพึ่งพาตนเองในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาตนเอง การพึ่งพาผู้อื่น หรือสิ่งภายนอกมากเกินไป จะทำให้เราขาดความสามารถในการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง
  • ความหลงผิดในอำนาจเหนือธรรมชาติ: การเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติ หรือการที่ผู้อื่นสามารถทำนายอนาคตได้อย่างแม่นยำ เป็นความเชื่อที่ไม่สอดคล้องกับหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา ซึ่งเน้นที่เหตุและผล

สัมมาทิฏฐิ: มุมมองที่ถูกต้อง

สัมมาทิฏฐิ หมายถึงความเห็นที่ถูกต้อง คือการเห็นตามความเป็นจริง ไม่หลงผิดในสิ่งที่ไม่ใช่ความจริง การมีสัมมาทิฏฐิจะนำไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้อง และนำไปสู่ความสุขและความหลุดพ้น

แทนที่จะไปพึ่งพาหมอดู เราควรหันมาพัฒนาตนเองด้วยการศึกษาพระธรรมคำสอน ฝึกปฏิบัติธรรม เพื่อให้เกิดปัญญาและความเข้าใจในธรรมชาติของสิ่งต่างๆ เมื่อเรามีปัญญา เราก็จะสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ในชีวิตได้ด้วยตนเอง

สรุป

การไปหาหมอดูอาจเป็นการให้ความบันเทิง หรือเป็นการปลอบใจ แต่หากเราเชื่อมั่นในคำทำนายของหมอดูมากเกินไป อาจทำให้เราขาดความพยายามในการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง และอาจนำไปสู่ความทุกข์ใจในระยะยาว การปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาสัมมาทิฏฐิ จะเป็นหนทางที่นำไปสู่ความสุขที่แท้จริงและยั่งยืนมากกว่า

คำแนะนำ:

  • ศึกษาพระธรรมคำสอน: การศึกษาพระธรรมคำสอนอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้เราเข้าใจธรรมชาติของชีวิตและสิ่งต่างๆ ได้อย่างลึกซึ้ง
  • ฝึกปฏิบัติธรรม: การฝึกปฏิบัติธรรมจะช่วยให้จิตใจสงบและปัญญาเกิดขึ้น
  • พัฒนาตนเอง: การพัฒนาตนเองในทุกๆ ด้าน จะช่วยให้เรามีความสามารถในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ในชีวิตได้ด้วยตนเอง

ท้ายที่สุดแล้ว การตัดสินใจที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อในหมอดู เป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่การมีสติและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบคอบ ก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเองมากที่สุด

หมายเหตุ: บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อนำเสนอมุมมองเกี่ยวกับการไปหาหมอดูตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ไม่ได้มีเจตนาจะวิจารณ์หรือดูถูกความเชื่อของผู้อื่น

คำสำคัญ: หมอดู, พระไตรปิฎก, สัมมาทิฏฐิ, มิจฉาทิฏฐิ, พุทธศาสนา, การพัฒนาตนเอง

#หมอดู #พระพุทธศาสนา #สัมมาทิฏฐิ #พัฒนาตนเอง

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถศึกษาได้จากพระไตรปิฎก หรือปรึกษาพระภิกษุสงฆ์

หมายเหตุ: บทความนี้เขียนโดย AI โปรดตรวจสอบแหล่งข้อมูลอ้างอิง 

  • ความน่าเชื่อถือ: เลือกแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ หรือหนังสือที่เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญ
  • ความหลากหลาย: พยายามหาแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย เพื่อให้ได้มุมมองที่ครอบคลุม
  • การอ้างอิงที่ถูกต้อง: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าการอ้างอิงเป็นไปตามรูปแบบ APA อย่างถูกต้อง
  • การตีความ: การตีความพระไตรปิฎกอาจมีความแตกต่างกันไป ขอแนะนำให้ปรึกษาพระภิกษุสงฆ์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านพระพุทธศาสนาเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง
  • Thursday 22 October 2020

    ผัคคุณะสูตร อ่านว่า ผัก-คุ-นะ-สูด

    [๓๒๗] ก็สมัยนั้น ท่านพระผัคคุณะอาพาธ มีทุกข์เป็นไข้หนัก

                 ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคม   แล้วนั่ง ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระผัคคุณะอาพาธมีทุกข์เป็นไข้หนัก  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคทรงอาศัยความอนุเคราะห์ เสด็จเข้าไปเยี่ยมท่านพระผัคคุณะเถิด พระผู้มีพระภาคทรงรับโดยดุษณีภาพ ครั้งนั้น เป็นเวลาเย็น พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่เร้น เสด็จเข้าไปเยี่ยมท่านพระผัคคุณะ  ถึงที่อยู่ท่านพระผัคคุณะ ได้เห็นพระผู้มีพระภาคกำลังเสด็จมาแต่ไกล แล้วจะลุกจากเตียง ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค  ได้ตรัสกะท่านพระผัคคุณะว่า  อย่าเลยผัคคุณะ เธออย่าลุกขึ้นจากเตียง อาสนะเหล่านี้ที่ผู้อื่นได้ปูไว้มีอยู่ เราจักนั่งบนอาสนะนั้น  พระผู้มีพระภาคได้ประทับนั่งบนอาสนะที่ได้ปูไว้แล้ว

     


                ครั้นแล้ว ได้ตรัสถามท่านพระผัคคุณะว่า ดูกรผัคคุณะเธอพออดทนได้หรือ พอยังอัตภาพให้เป็นไปได้หรือ ทุกขเวทนาย่อมบรรเทาไม่กำเริบหรือ  ปรากฏว่าบรรเทา ไม่กำเริบขึ้นหรือ ท่านพระผัคคุณะกราบทูลว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์อดทนไม่ได้ ยังอัตภาพให้เป็นไปไม่ได้  ทุกขเวทนาของข้าพระองค์กำเริบหนัก  ไม่บรรเทา ปรากฏว่ากำเริบนั้นไม่บรรเทาเลยข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เปรียบเหมือนบุรุษ มีกำลังพึงเฉือนศีรษะด้วยมีดโกนที่คมฉันใด ลมกล้าเสียดแทงศีรษะของข้าพระองค์ ฉันนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญข้าพระองค์อดทนไม่ได้ ยังอัตภาพให้เป็นไปไม่ได้ ทุกขเวทนาของข้าพระองค์กำเริบหนัก ไม่บรรเทา ปรากฏว่ากำเริบขึ้น ไม่บรรเทาเลย  เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีกำลังพึงเอาเชือกที่เหนียวแน่นพันศีรษะ ฉันใด ความเจ็บปวดที่ศีรษะของข้าพระองค์ก็มีประมาณยิ่ง ฉันนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์อดทนไม่ได้เปรียบเหมือนบุรุษฆ่าโค หรือลูกมือของบุรุษฆ่าโค เป็นคนขยันพึงใช้มีดสำหรับชำแหละโคที่คม ชำแหละท้องโค ฉันใด ลมกล้ามีประมาณยิ่งย่อมเสียดแทงท้องของข้าพระองค์ ฉันนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์อดทนไม่ได้ ...เปรียบบุรุษผู้มีกำลังสองคน จับบุรุษผู้อ่อนกำลังคนเดียวที่แขนคนละข้าง แล้วพึงลนย่างบนหลุมถ่านไฟ ฉันใด ความเร่าร้อนที่กายของข้าพระองค์ก็ประมาณยิ่งฉันนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์อดทนไม่ได้ ยังอัตภาพให้เป็นไปไม่ได้ทุกขเวทนาของข้าพระองค์กำเริบหนัก ไม่บรรเทา ปรากฏว่ากำเริบขึ้นไม่บรรเทาเลย

               ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงด้วยธรรมีกถาให้ท่านพระผัคคุณะเห็นแจ้ง    ให้สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง แล้วเสด็จลุกจากอาสนะหลีกไป  ครั้นเมื่อ พระผู้มีพระภาคเสด็จไปแล้วไม่นาน ท่านพระผัคคุณะได้กระทำกาละ  และในเวลาตายอินทรีย์ของท่านพระผัคคุณะนั้น ผ่องใสยิ่งนัก     ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับถวายบังคมแล้วนั่ง ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จจากมาไม่นาน ท่านพระผัคคุณะก็กระทำกาละ และในเวลาตาย  อินทรีย์ของท่านพระผัคคุณะผ่ององใสยิ่งนัก พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ก็อินทรีย์ของผัคคุณภิกษุจักไม่ผ่องใสได้อย่างไร จิตของผัคคุณภิกษุยังไม่หลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ จิตของผัคคุณภิกษุนั้น  ก็หลุดพ้นแล้วจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ   เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น  

               ดูกรอานนท์อานิสงส์ในการฟังธรรมโดยกาลอันควร  ในการใคร่ครวญเนื้อความแห่งธรรม  โดยกาลอันควร ประการนี้ ประการเป็นไฉน ดูกรอานนท์ จิตของภิกษุในธรรมวินัยนี้ ยังไม่หลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ในเวลาใกล้ตายเธอได้เห็นตถาคต ตถาคตย่อมแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น อันงามในท่ามกลางอันงามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิงแก่เธอ  จิตของเธอย่อมหลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ  เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น   ดูกรอานนท์ นี้เป็นอานิสงส์  ข้อที่ ในการฟังธรรมโดยกาลอันควร

                  อีกประการหนึ่ง จิตของภิกษุยังไม่หลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ในเวลาใกล้ตาย เธอไม่ได้เห็นตถาคตเลย แต่ได้เห็นสาวกของพระตถาคต สาวกของพระตถาคตย่อมแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง แก่เธอ จิตของเธอย่อมหลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น ดูกรอานนท์ นี้เป็นอานิสงส์   ข้อที่ ในการฟังธรรมโดยกาลอันควร

                 อีกประการหนึ่ง จิตของภิกษุยังไม่หลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ในเวลาใกล้ตาย เธอไม่ได้เห็นตถาคต และไม่ได้เห็นสาวกของตถาคตเลย แต่ย่อมตรึกตรองเพ่งด้วยใจ ซึ่งธรรมตามที่ได้ฟังมาได้เรียนมา เมื่อเธอตรึกตรองเพ่งด้วยใจ ซึ่งธรรมตามที่ได้ฟังมาได้เรียนมาอยู่ จิตของเธอย่อมหลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ดูกรอานนท์ นี้เป็นอานิสงส์    ข้อที่ ในการใคร่ครวญเนื้อความแห่งธรรมโดยกาลอันควร

                 ดูกรอานนท์ จิตของมนุษย์ในธรรมวินัยนี้ ได้หลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ แต่จิตของเธอยังไม่น้อมไปในนิพพานอันเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลส  อันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ ในเวลาใกล้ตาย เธอย่อมได้เห็นพระตถาคต พระตถาคตย่อมแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น ... แก่เธอ จิตของเธอย่อมน้อมไปในนิพพานอันเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลส อันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น ดูกรอานนท์ นี้เป็นอานิสงส์   ข้อที่ ในการฟังธรรมโดยกาลอันควร

                 อีกประการหนึ่ง จิตของภิกษุหลุดพ้นแล้วจากสังโยชน์ อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ แต่จิตของเธอยังไม่น้อมไปในนิพพานอันเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิ-*กิเลส อันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ ในเวลาใกล้ตาย เธอย่อมไม่ได้เห็นพระตถาคตแต่เธอย่อมได้เห็นสาวกของพระตถาคต สาวกของพระตถาคตย่อมแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น ... แก่เธอ จิตของเธอย่อมน้อมไปในนิพพานเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลส อันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น ดูกรอานนท์ นี้เป็นอานิสงส์   ข้อที่ ในการฟังธรรมโดยกาลอันควร  

                  อีกประการหนึ่ง จิตของภิกษุหลุดพ้นแล้วจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ แต่จิตของเธอยังไม่น้อมไปในนิพพาน อันเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิ-*กิเลส อันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ ในเวลาใกล้ตาย เธอย่อมไม่ได้เห็นพระตถาคตและย่อมไม่ได้เห็นสาวกของพระตถาคตเลย แต่เธอย่อมตรึกตรองเพ่งด้วยใจซึ่งธรรมตามที่ได้ฟังมาได้เรียนมา เมื่อเธอตรึกตรองเพ่งด้วยใจซึ่งธรรมตามที่ได้ฟังมาได้เรียนมาอยู่ จิตของเธอย่อมน้อมไปในนิพพานอันเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลสอันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้

                  ดูกรอานนท์ นี้เป็นอานิสงส์ ข้อ ในการใคร่ครวญเนื้อความแห่งธรรมโดยกาลอันควร ดูกรอานนท์ อานิสงส์ในการฟังธรรม ในการใคร่ครวญเนื้อความโดยกาลอันควร ประการนี้แล  


    อ้างอิง;  https://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=22&A=8948&Z=9032

    คำค้น; ผัคคุณะสูตร

    ความหมายและความสำคัญของบทสวดอิติปิโสในพุทธศาสนา-The meaning and significance of the Itipiso prayer in Buddhism.

    บทสวด "อิติปิโส" เป็นบทสวดสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในพุทธศาสนาเถรวาท บทนี้ถูกใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาต่างๆ รวมถ...

    BuddhaWajana Live