[๓๒๗]
ก็สมัยนั้น
ท่านพระผัคคุณะอาพาธ
มีทุกข์เป็นไข้หนัก
ครั้งนั้น
ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ถวายบังคม แล้วนั่ง
ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ท่านพระผัคคุณะอาพาธมีทุกข์เป็นไข้หนัก
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอประทานพระวโรกาส
ขอพระผู้มีพระภาคทรงอาศัยความอนุเคราะห์
เสด็จเข้าไปเยี่ยมท่านพระผัคคุณะเถิด
พระผู้มีพระภาคทรงรับโดยดุษณีภาพ
ครั้งนั้น
เป็นเวลาเย็น
พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่เร้น
เสด็จเข้าไปเยี่ยมท่านพระผัคคุณะ ถึงที่อยู่ท่านพระผัคคุณะ
ได้เห็นพระผู้มีพระภาคกำลังเสด็จมาแต่ไกล
แล้วจะลุกจากเตียง
ลำดับนั้น
พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสกะท่านพระผัคคุณะว่า
อย่าเลยผัคคุณะ
เธออย่าลุกขึ้นจากเตียง
อาสนะเหล่านี้ที่ผู้อื่นได้ปูไว้มีอยู่
เราจักนั่งบนอาสนะนั้น
พระผู้มีพระภาคได้ประทับนั่งบนอาสนะที่ได้ปูไว้แล้ว
ครั้นแล้ว
ได้ตรัสถามท่านพระผัคคุณะว่า
ดูกรผัคคุณะเธอพออดทนได้หรือ
พอยังอัตภาพให้เป็นไปได้หรือ
ทุกขเวทนาย่อมบรรเทาไม่กำเริบหรือ ปรากฏว่าบรรเทา
ไม่กำเริบขึ้นหรือ
ท่านพระผัคคุณะกราบทูลว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้าพระองค์อดทนไม่ได้
ยังอัตภาพให้เป็นไปไม่ได้ ทุกขเวทนาของข้าพระองค์กำเริบหนัก ไม่บรรเทา
ปรากฏว่ากำเริบนั้นไม่บรรเทาเลยข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
เปรียบเหมือนบุรุษ
มีกำลังพึงเฉือนศีรษะด้วยมีดโกนที่คมฉันใด
ลมกล้าเสียดแทงศีรษะของข้าพระองค์
ฉันนั้น
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญข้าพระองค์อดทนไม่ได้
ยังอัตภาพให้เป็นไปไม่ได้
ทุกขเวทนาของข้าพระองค์กำเริบหนัก
ไม่บรรเทา
ปรากฏว่ากำเริบขึ้น
ไม่บรรเทาเลย เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีกำลังพึงเอาเชือกที่เหนียวแน่นพันศีรษะ
ฉันใด
ความเจ็บปวดที่ศีรษะของข้าพระองค์ก็มีประมาณยิ่ง
ฉันนั้น
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้าพระองค์อดทนไม่ได้เปรียบเหมือนบุรุษฆ่าโค
หรือลูกมือของบุรุษฆ่าโค
เป็นคนขยันพึงใช้มีดสำหรับชำแหละโคที่คม
ชำแหละท้องโค
ฉันใด
ลมกล้ามีประมาณยิ่งย่อมเสียดแทงท้องของข้าพระองค์
ฉันนั้น
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้าพระองค์อดทนไม่ได้
...เปรียบบุรุษผู้มีกำลังสองคน จับบุรุษผู้อ่อนกำลังคนเดียวที่แขนคนละข้าง
แล้วพึงลนย่างบนหลุมถ่านไฟ
ฉันใด
ความเร่าร้อนที่กายของข้าพระองค์ก็ประมาณยิ่งฉันนั้น
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้าพระองค์อดทนไม่ได้
ยังอัตภาพให้เป็นไปไม่ได้ทุกขเวทนาของข้าพระองค์กำเริบหนัก
ไม่บรรเทา
ปรากฏว่ากำเริบขึ้นไม่บรรเทาเลย
ลำดับนั้นแล
พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงด้วยธรรมีกถาให้ท่านพระผัคคุณะเห็นแจ้ง ให้สมาทาน
อาจหาญ
ร่าเริง
แล้วเสด็จลุกจากอาสนะหลีกไป ครั้นเมื่อ
พระผู้มีพระภาคเสด็จไปแล้วไม่นาน
ท่านพระผัคคุณะได้กระทำกาละ และในเวลาตายอินทรีย์ของท่านพระผัคคุณะนั้น
ผ่องใสยิ่งนัก
ฯ ครั้งนั้น
ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับถวายบังคมแล้วนั่ง
ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จจากมาไม่นาน
ท่านพระผัคคุณะก็กระทำกาละ
และในเวลาตาย อินทรีย์ของท่านพระผัคคุณะผ่ององใสยิ่งนัก
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรอานนท์ก็อินทรีย์ของผัคคุณภิกษุจักไม่ผ่องใสได้อย่างไร
จิตของผัคคุณภิกษุยังไม่หลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ
๕
จิตของผัคคุณภิกษุนั้น
ก็หลุดพ้นแล้วจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ
๕
เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น
ดูกรอานนท์อานิสงส์ในการฟังธรรมโดยกาลอันควร
ในการใคร่ครวญเนื้อความแห่งธรรม โดยกาลอันควร
๖
ประการนี้
๖
ประการเป็นไฉน
ดูกรอานนท์
จิตของภิกษุในธรรมวินัยนี้
ยังไม่หลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ
๕
ในเวลาใกล้ตายเธอได้เห็นตถาคต
ตถาคตย่อมแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น
อันงามในท่ามกลางอันงามในที่สุด
ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ
บริสุทธิ์
บริบูรณ์สิ้นเชิงแก่เธอ
จิตของเธอย่อมหลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ
๕
เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น
ดูกรอานนท์
นี้เป็นอานิสงส์
ข้อที่
๑
ในการฟังธรรมโดยกาลอันควร
ฯ
อีกประการหนึ่ง
จิตของภิกษุยังไม่หลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ
๕
ในเวลาใกล้ตาย
เธอไม่ได้เห็นตถาคตเลย
แต่ได้เห็นสาวกของพระตถาคต
สาวกของพระตถาคตย่อมแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น
งามในท่ามกลาง
งามในที่สุด
ประกาศพรหมจรรย์
พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์
บริบูรณ์สิ้นเชิง
แก่เธอ
จิตของเธอย่อมหลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ
๕
เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น
ดูกรอานนท์
นี้เป็นอานิสงส์ ข้อที่
๒
ในการฟังธรรมโดยกาลอันควร
ฯ
อีกประการหนึ่ง
จิตของภิกษุยังไม่หลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ
๕
ในเวลาใกล้ตาย
เธอไม่ได้เห็นตถาคต
และไม่ได้เห็นสาวกของตถาคตเลย
แต่ย่อมตรึกตรองเพ่งด้วยใจ
ซึ่งธรรมตามที่ได้ฟังมาได้เรียนมา
เมื่อเธอตรึกตรองเพ่งด้วยใจ
ซึ่งธรรมตามที่ได้ฟังมาได้เรียนมาอยู่
จิตของเธอย่อมหลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ
๕
ดูกรอานนท์
นี้เป็นอานิสงส์ ข้อที่
๓
ในการใคร่ครวญเนื้อความแห่งธรรมโดยกาลอันควร
ฯ
ดูกรอานนท์
จิตของมนุษย์ในธรรมวินัยนี้
ได้หลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ
๕
แต่จิตของเธอยังไม่น้อมไปในนิพพานอันเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลส
อันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้
ในเวลาใกล้ตาย
เธอย่อมได้เห็นพระตถาคต
พระตถาคตย่อมแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น
... แก่เธอ จิตของเธอย่อมน้อมไปในนิพพานอันเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลส
อันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้
เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น
ดูกรอานนท์
นี้เป็นอานิสงส์ ข้อที่
๔
ในการฟังธรรมโดยกาลอันควร
ฯ
อีกประการหนึ่ง
จิตของภิกษุหลุดพ้นแล้วจากสังโยชน์
อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ
๕
แต่จิตของเธอยังไม่น้อมไปในนิพพานอันเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิ-*กิเลส
อันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้
ในเวลาใกล้ตาย
เธอย่อมไม่ได้เห็นพระตถาคตแต่เธอย่อมได้เห็นสาวกของพระตถาคต
สาวกของพระตถาคตย่อมแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น
... แก่เธอ จิตของเธอย่อมน้อมไปในนิพพานเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลส
อันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้
เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น
ดูกรอานนท์
นี้เป็นอานิสงส์ ข้อที่
๕
ในการฟังธรรมโดยกาลอันควร
ฯ
อีกประการหนึ่ง
จิตของภิกษุหลุดพ้นแล้วจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ
๕
แต่จิตของเธอยังไม่น้อมไปในนิพพาน
อันเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิ-*กิเลส
อันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้
ในเวลาใกล้ตาย
เธอย่อมไม่ได้เห็นพระตถาคตและย่อมไม่ได้เห็นสาวกของพระตถาคตเลย
แต่เธอย่อมตรึกตรองเพ่งด้วยใจซึ่งธรรมตามที่ได้ฟังมาได้เรียนมา
เมื่อเธอตรึกตรองเพ่งด้วยใจซึ่งธรรมตามที่ได้ฟังมาได้เรียนมาอยู่
จิตของเธอย่อมน้อมไปในนิพพานอันเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลสอันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้
ดูกรอานนท์
นี้เป็นอานิสงส์
ข้อ
๖
ในการใคร่ครวญเนื้อความแห่งธรรมโดยกาลอันควร
ดูกรอานนท์
อานิสงส์ในการฟังธรรม
ในการใคร่ครวญเนื้อความโดยกาลอันควร
๖
ประการนี้แล
ฯ
อ้างอิง; https://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=22&A=8948&Z=9032
คำค้น; ผัคคุณะสูตร