Showing posts with label พุทธวจน. Show all posts
Showing posts with label พุทธวจน. Show all posts

ตัณหา ปัจจยา อุปาทานัง เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน


"ตัณหา ปัจจยา อุปาทานัง" เป็นส่วนหนึ่งของ ปฏิจจสมุปบาท (Paticcasamuppada) หรือหลักการแห่งเหตุปัจจัยในพระพุทธศาสนา ซึ่งแสดงถึงกระบวนการเกิดทุกข์และการดับทุกข์ โดยคำนี้หมายถึงความเชื่อมโยงระหว่าง ตัณหา และ อุปาทาน ดังนี้:

1. ตัณหา (ความอยาก)
เป็นความปรารถนาหรือความยึดมั่นในสิ่งที่ชอบ (กามตัณหา) ความอยากให้เป็นหรือมีในสิ่งที่เราปรารถนา (ภวตัณหา) หรือความอยากให้ไม่มีสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา (วิภวตัณหา)

ตัณหาเป็นต้นเหตุของการเกิดความยึดมั่นต่อสิ่งต่าง ๆ

2. ปัจจยา (เหตุปัจจัย)
หมายถึง "เหตุที่ทำให้เกิดผล" ซึ่งในที่นี้ ตัณหาเป็นเหตุปัจจัยที่นำไปสู่การเกิด อุปาทาน


3. อุปาทาน (ความยึดมั่นถือมั่น)
เป็นการเกาะเกี่ยวหรือยึดมั่นในสิ่งที่เราปรารถนา ทำให้เกิดความติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส หรือความคิดต่าง ๆ



ในกระบวนการปฏิจจสมุปบาท เมื่อมี ตัณหา (ความอยาก) เป็นเหตุปัจจัย จะนำไปสู่ อุปาทาน (ความยึดมั่น) ซึ่งอุปาทานนี้จะเป็นตัวเร่งให้เกิด ภพ (การสร้างภาวะ) และ ชาติ (การเกิด) ที่เป็นผลของกระบวนการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสังสารต่อไป

การดับทุกข์จึงเริ่มจากการละตัณหา เพื่อทำลายเหตุปัจจัยที่นำไปสู่อุปาทาน และปลดปล่อยจากวัฏฏะทุกข์ในที่สุด


Meriko Kojic X Glutaplus Body Cream วิตามิน C,E

ช่วยให้ผิวดูขาวกระจ่างใส ซื้อ 2 กระปุกใหญ่ ในราคาเพียง 590 บาท จากปกติ 1,180 บาท

สั่งซื้อเลย

"กุศลกรรมบท 10 สำคัญแค่ไหน ทำไมใครๆ ก็พูดถึง?"

กุศลกรรมบท 10 เป็นหลักธรรมสำคัญในพระพุทธศาสนา ซึ่งกล่าวถึงวิธีการปฏิบัติที่นำไปสู่ความดีงามและชีวิตที่มีความสุขทั้งในปัจจุบันและอนาคต หลักนี้ได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวางเพราะเป็นพื้นฐานของการสร้างบุญกุศลและลดบาปกรรมในชีวิตประจำวัน 

หลักสำคัญของกุศลกรรมบท 10 คือการแสดงออกถึงความคิด การกระทำ และคำพูดที่ดี โดยแบ่งออกเป็น 3 ด้านคือ กายกรรม 3 วจีกรรม 4 และมโนกรรม 3 ดังนี้: 
↘️ กายกรรม (การกระทำทางกาย) 3 
ข้อ 1. ไม่ฆ่าสัตว์ - การเคารพชีวิตและไม่เบียดเบียนสัตว์อื่น 
ข้อ 2. ไม่ลักทรัพย์ - การเคารพในทรัพย์สินของผู้อื่น 
ข้อ 3. ไม่ประพฤติผิดในกาม - การมีความสัมพันธ์ในกรอบของศีลธรรม 
↘️ วจีกรรม (การกระทำทางวาจา) 4 
ข้อ 4. ไม่พูดเท็จ - การพูดความจริงและรักษาสัจจะ 
ข้อ 5. ไม่พูดส่อเสียด - การไม่ยุแหย่ให้ผู้อื่นทะเลาะกัน 
ข้อ 6. ไม่พูดคำหยาบ - การพูดจาไพเราะและสุภาพ 
ข้อ 7. ไม่พูดเพ้อเจ้อ - การพูดที่มีประโยชน์และเหมาะสม 
↘️ มโนกรรม (การกระทำทางใจ) 3 
ข้อ 8. ไม่โลภอยากได้ของผู้อื่น - การมีความพอใจในสิ่งที่ตนเองมี 
ข้อ 9. ไม่พยาบาท - การไม่คิดร้ายต่อผู้อื่น 
ข้อ 10. มีความเห็นถูกต้อง - การมีทัศนคติที่ถูกต้องตามหลักธรรม 

🙏 ความสำคัญของกุศลกรรมบท 10 
1. สร้างความสงบสุขในสังคม: หากทุกคนปฏิบัติตามหลักนี้ ความขัดแย้งและปัญหาต่าง ๆ จะลดลง 
2. พัฒนาจิตใจให้สูงขึ้น: เป็นการฝึกจิตให้หลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นโทษ และเพิ่มพูนคุณธรรมในตน 
3. เป็นพื้นฐานของศีลธรรม: ช่วยให้บุคคลมีความประพฤติดีงาม ทั้งในมิติส่วนตัวและสังคม 
4. เตรียมความพร้อมสู่การปฏิบัติธรรมขั้นสูง: เป็นบันไดสู่การเข้าถึงปัญญาและนิพพาน 

🙏 เหตุผลที่ใคร ๆ พูดถึงกุศลกรรมบท 10 
  • เป็นหลักธรรมที่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน 
  • เป็นพื้นฐานของการดำรงชีวิตอย่างมีศีลธรรม 
  • เหมาะสำหรับการพัฒนาตนเองในทุกระดับ ตั้งแต่คนทั่วไปจนถึงนักปฏิบัติธรรม 
  • ช่วยสร้างบุญกุศลและผลดีทั้งในชาตินี้และชาติหน้า การปฏิบัติตามกุศลกรรมบท 10 จึงเป็นเหมือน "คู่มือชีวิต" ที่ทำให้คนสามารถดำรงตนในสังคมได้อย่างสงบสุข และพัฒนาจิตใจให้ดียิ่งขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงที่สุดของการพ้นทุกข์ในทางพระพุทธศาสนา
วิทยุธรรม

➡️สนับสนุนสินค้าเรา

สั่งซื้อเลย

คำสอนของพระพุทธเจ้านั้นรู้ไว้ให้ถูกต้อง ส่วนการปฏิบัติให้ยึดทางสายกลาง ถูกต้องหรือไม่?-AIสอนธรรม17-11-2567

หนังสือ"มรรค(วิธี)ที่ง่าย"

แนะนำหนังสือพุทธวจน

สั่งซื้อเลย


คำถามนี้สอดคล้องกับหลักธรรมสำคัญที่พระพุทธเจ้าทรงสอน คือ อริยมรรคมีองค์แปด ซึ่งเป็นการเดินทางสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา) โดยไม่เอียงไปในสองสุดโต่ง ทั้งในด้านการเสพกามและการทรมานตนเอง

ใน ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร (SN 56.11) พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ว่า:

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การดำเนินตามทางสุดโต่งสองอย่างนี้ เป็นสิ่งที่ผู้แสวงหาความรู้ควรละทิ้งเสีย คือ การหมกมุ่นในกามสุขและการทรมานตนให้ลำบาก… ทางสายกลางที่เราได้ตรัสรู้นี้ ให้ปัญญา ให้ความสงบ ให้ปัญญาชำแรกกิเลสให้ถึงนิพพาน” 

https://suttacentral.net/sn56.11

การปฏิบัติตามทางสายกลางนั้นหมายถึงการรักษาความสมดุล ไม่สุดโต่งไปในความสุขทางโลกหรือการบำเพ็ญตบะจนร่างกายลำบาก ซึ่งจะนำไปสู่การมีศีล สมาธิ และปัญญา

ความหมายที่เกี่ยวข้องในคำถาม

  1. การรู้ให้ถูกต้อง – การมี สัมมาทิฏฐิ หรือความเห็นชอบในอริยมรรค ซึ่งก็คือการมีความเข้าใจที่ถูกต้องในธรรมะ เช่น ความจริงของทุกข์ (ทุกข์) เหตุของทุกข์ (สมุทัย) ความดับทุกข์ (นิโรธ) และหนทางปฏิบัติไปสู่การดับทุกข์ (มรรค) การรู้ให้ถูกต้องจึงหมายถึงการศึกษาธรรมและการปฏิบัติให้เข้าใจตามความเป็นจริง
  1. การปฏิบัติตามทางสายกลาง – การเดินตาม อริยมรรคมีองค์แปด ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ ซึ่งเป็นแนวทางการปฏิบัติเพื่อการพัฒนาคุณธรรมและการละกิเลส

ดังนั้น คำกล่าวที่ว่า "การรู้ให้ถูกต้อง" และ "การปฏิบัติตามทางสายกลาง" นั้น เป็นหลักธรรมที่ถูกต้อง และสอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าตรัสรูธรรมเพื่อการหลุดพ้นทุกข์ ธรรมะนั้นชื่ออะไร?

GPT

พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมเพื่อการหลุดพ้นจากทุกข์ซึ่งเราเรียกว่า อริยสัจ 4 หรือความจริงอันประเสริฐทั้งสี่ ซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ธรรมะนี้ประกอบด้วยความจริงสี่ประการ ได้แก่


  1. ทุกข์ (Dukkha) – ความจริงของทุกข์ หมายถึงความไม่สบายกายและใจทั้งหลายที่เราประสบในชีวิต ความไม่สมหวัง ความเกิดแก่เจ็บตาย เป็นต้น
  2. สมุทัย (Samudaya) – ความจริงของเหตุแห่งทุกข์ หมายถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ซึ่งก็คือ ตัณหา หรือความทะยานอยาก ความยึดมั่นในสิ่งต่าง ๆ
  3. นิโรธ (Nirodha) – ความจริงของการดับทุกข์ หมายถึงสภาวะที่ปลอดจากทุกข์ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเราสามารถดับเหตุแห่งทุกข์ได้
  4. มรรค (Magga) – ความจริงของหนทางดับทุกข์ หมายถึงหนทางการปฏิบัติเพื่อไปสู่การหลุดพ้นทุกข์ ซึ่งเรียกว่า อริยมรรคมีองค์แปด หรือทางสายกลาง

ใน ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร (SN 56.11) พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงอริยสัจ 4 เป็นครั้งแรกแก่ปัญจวัคคีย์ ซึ่งเป็นการประกาศธรรมะที่เป็นหลักสำคัญของพระพุทธศาสนา:

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสัจ 4 นี้แล คือทุกข์ อริยสัจว่าด้วยทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ อริยสัจว่าด้วยเหตุแห่งทุกข์ ความดับแห่งทุกข์ อริยสัจว่าด้วยความดับแห่งทุกข์ หนทางอันประเสริฐอันนำไปสู่ความดับแห่งทุกข์ อริยสัจว่าด้วยหนทางอันประเสริฐนั้น" https://suttacentral.net/sn56.11

อริยสัจ 4 เป็นธรรมะที่ชี้นำให้เราพ้นจากทุกข์โดยการรู้จักทุกข์ เห็นเหตุแห่งทุกข์ เข้าใจถึงสภาวะดับทุกข์ และปฏิบัติตามหนทางที่นำไปสู่การหลุดพ้น

ที่มา: https://chatgpt.com/share/6739bd5a-b658-800d-ac59-2c7e78bcf29e


อธิบายการเกิดของจิต มโนวิญญาณ ตามพุทธวจน

ในพุทธวจนะ มีการอธิบายถึง “จิต” “มโน” และ “วิญญาณ” ในแง่ของกระบวนการรับรู้และการเกิดขึ้นของความรู้สึกและการรับรู้อย่างละเอียด 

โดยทั้งสามคำนี้มีความสัมพันธ์กันในกระบวนการของจิตใจและการรับรู้ของมนุษย์ โดยแต่ละคำมีความหมายและหน้าที่ที่ต่างกันไปบ้าง ดังนี้: 
 1. จิต (Citta) จิต หมายถึง สภาพการรับรู้หรืออารมณ์ที่เกิดขึ้นในขณะหนึ่ง ๆ ตามพุทธวจนะ จิตเป็นสภาวะที่สามารถแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ไม่คงที่ และมีลักษณะคือเกิดขึ้นและดับไปในทุกขณะ เป็นสิ่งที่ถูกกระทบโดยอารมณ์และสิ่งต่างๆ จิตสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามการฝึกฝนและพัฒนา ซึ่งในการปฏิบัติธรรม พุทธเจ้าทรงสอนให้พยายามพัฒนาและฝึกฝนจิตให้เกิดความสงบและปล่อยวาง ใน ธัมมปท พระพุทธเจ้าตรัสถึงความสำคัญของการฝึกฝนจิตว่า: 
 > “จิตนี้แล เป็นสิ่งที่เร่าร้อน สั่นไหว ปรุงแต่งง่าย แต่หากใครรู้จักฝึกฝน ควบคุมจิตนี้ได้ จิตนั้นย่อมสามารถนำมาซึ่งสุขได้อย่างแท้จริง” การฝึกจิตให้สงบ เป็นการควบคุมความคิดและความรู้สึกให้รู้จักสภาวะของการปล่อยวาง ไม่ให้ยึดติดอยู่กับสิ่งใด 
 2. มโน (Mano) มโน หมายถึง “ใจ” หรือ "เครื่องปรุงแต่ง" เป็นฐานของความคิด การวิเคราะห์ และการแยกแยะ มโนทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการจัดการข้อมูลและอารมณ์ที่เข้ามาปรุงแต่งให้เป็นความคิดหรือการตัดสินใจ พระพุทธเจ้าตรัสว่า มโนมีบทบาทในการปรุงแต่งอารมณ์และสรรพสิ่งต่างๆ ให้เกิดการยึดติดหรือการสร้างกรรม เช่น การมองเห็นสิ่งใดแล้วมีความชอบหรือชังขึ้นในใจ จนเกิดการกระทำและผลของการกระทำนั้น ใน มชฺฌิมนิกาย พระพุทธเจ้าตรัสถึงบทบาทของมโนว่า:
 > “มโนเป็นสภาพที่ปรุงแต่ง ยึดถืออารมณ์ จึงเกิดเป็นการกระทำ (กรรม) และส่งผล (วิบาก) ให้ผู้กระทำตามอารมณ์ที่ยึดถือ” ดังนั้น การตระหนักถึงบทบาทของมโน จึงมีความสำคัญในการลดการยึดติดและหลุดพ้นจากความทุกข์ 
 3. วิญญาณ (Viññāṇa) วิญญาณ คือ “การรับรู้” หรือ “ความรู้สึกตัว” ซึ่งหมายถึงการรับรู้หรือสำนึกในสิ่งต่างๆ ที่เข้ามากระทบทางอายตนะทั้ง 6 (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) พระพุทธเจ้าอธิบายว่า วิญญาณเกิดขึ้นจากการสัมผัสของอายตนะภายนอกกับอายตนะภายใน ตัวอย่างเช่น เมื่อดวงตามองเห็นรูป วิญญาณทางตาจึงเกิดขึ้น หรือเมื่อหูได้ยินเสียง วิญญาณทางหูก็เกิดขึ้น วิญญาณจึงเป็นผลของการกระทบอายตนะทั้งหลาย ใน สังยุตตนิกาย พระพุทธเจ้าตรัสว่า: 
 > “เมื่อมีอายตนะภายใน (อินทรีย์) และมีอารมณ์ภายนอก (รูป เสียง กลิ่น ฯลฯ) วิญญาณย่อมเกิดขึ้น ณ ที่นั้น และเมื่อไม่มีอายตนะและอารมณ์นั้น วิญญาณย่อมดับไป” 

 ดังนั้น จิต มโน และวิญญาณจึงเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทางจิตใจที่มีความสัมพันธ์กันในการรับรู้ ปรุงแต่ง และการยึดติด ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถนำไปสู่ความทุกข์ได้ หากไม่ได้รับการฝึกฝนและควบคุมอย่างถูกต้อง

วิเคราะห์คำสอน "ทุกข์" (Dukkha), "อนิจจัง" (Anicca), และ "นันทิ" (Nandi)" ที่ปรากฏในพระไตรปิฏก

ความหมาย"ทุกข์ อนิจจัง และ นันทิ: คำสอนสำคัญ-ในพระไตรปิฏกและพุทธวจน"

"วิเคราะห์คำสอนสำคัญ 3 คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า: ทุกข์ อนิจจัง และนันทิ ผ่านมุมมองในพระไตรปิฏก และความสำคัญของคำเหล่านี้ในชีวิตประจำวัน"


วิเคราะห์คำสอน "ทุกข์ อนิจจัง และ นันทิ" ที่ปรากฏในพระไตรปิฏก

คำสอนในพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในพระไตรปิฏกสะท้อนถึงแก่นแท้ของชีวิต และแนะนำวิธีเพื่อเข้าใจความจริงของโลกผ่านการตระหนักรู้ใน "ทุกข์" (Dukkha), "อนิจจัง" (Anicca), และ "นันทิ" (Nandi) คำเหล่านี้มีบทบาทสำคัญต่อการเข้าใจและปฏิบัติในแนวทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงสอน ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสัดส่วนการปรากฏและความสำคัญ ดังนี้


ทุกข์ (Dukkha) - ประมาณ 40%

คำว่า "ทุกข์" หมายถึง ความทุกข์ ความไม่สบายใจ ความไม่พอใจในชีวิตหรือสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติ พระพุทธเจ้าได้ทรงชี้ว่า ทุกสิ่งในชีวิตมีทุกข์ โดยเป็นส่วนหนึ่งของ “อริยสัจ 4” ซึ่งกล่าวถึงทุกข์และหนทางที่ทำให้พ้นทุกข์ การยอมรับและเข้าใจในทุกข์เป็นขั้นแรกในการละความยึดติด และหาทางที่จะดับทุกข์


อนิจจัง (Anicca) - ประมาณ 35%

"อนิจจัง" หมายถึงความไม่เที่ยง ความเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งที่ไม่มีอะไรคงที่ พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ทุกสิ่งในโลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นสุข ทุกข์ หรือสภาพแวดล้อมทั้งหลาย การเข้าใจและยอมรับความไม่แน่นอนนี้ช่วยลดความยึดติด ความทุกข์ใจ และการเกาะเกี่ยวในสิ่งที่ไม่ถาวร


นันทิ (Nandi) - ประมาณ 25%

"นันทิ" หรือความพอใจ ความติดอยู่ในความสุข พระพุทธเจ้าสอนว่า การยึดติดในนันทิหรือความสุขแม้เพียงเล็กน้อยทำให้ใจเราผูกพันอยู่กับสิ่งต่าง ๆ ซึ่งนำไปสู่การยึดมั่นในสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน ดังนั้นการเข้าใจว่าความสุขก็เป็นอนิจจังเช่นกันจะช่วยให้จิตใจเป็นอิสระมากขึ้น


บทวิเคราะห์

ทั้งสามคำสอนนี้ถือเป็นหัวใจของคำสอนในพระพุทธศาสนาและช่วยชี้นำให้ผู้ปฏิบัติเข้าใจธรรมชาติของชีวิต พระพุทธเจ้าทรงเน้นให้เราเห็นถึงความจริงของทุกข์ ความไม่เที่ยง และการปล่อยวางความยึดติด เมื่อเราตระหนักรู้และเข้าใจความหมายของทุกข์ อนิจจัง และนันทิ เราสามารถฝึกจิตให้ลดความยึดมั่นและก้าวสู่การดับทุกข์อย่างแท้จริง

คำค้นหา:  "คำสอนในพระไตรปิฏก ทุกข์ อนิจจัง นันทิ คำสำคัญที่พระพุทธเจ้าสอน พระไตรปิฏก ธรรมะ ความหมายคำสอนทางพระพุทธศาสนา"


แหล่งศึกษาเพิ่มเติม: "ละนันทิ “ จิตหลุดพ้น ” พ้นจากความ เกิด แก่ เจ็บ ตาย โดย พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสติพโล วัดนาป่าพงศ์

หัวข้อที่พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสติพโล วัดนาป่าพงศ์ พูดถึงในวิดีโอนี้เกี่ยวกับ “จิตหลุดพ้น” ซึ่งเป็นสภาวะที่จิตสามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ ความเกิด แก่ เจ็บ และตายได้ โดยการสอนจะเน้นไปที่แนวทางการปฏิบัติและการทำความเข้าใจเรื่องจิตใจและธรรมะอย่างลึกซึ้งตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า

สรุปประเด็นสำคัญ

1. แนวคิดเรื่องจิตหลุดพ้น - พระอาจารย์อธิบายถึงแนวทางที่ทำให้จิตหลุดพ้นจากสังสารวัฏ หรือความเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งเป็นการปลดปล่อยจิตจากความยึดมั่นและตัวตนที่ทำให้เกิดทุกข์ และสภาวะนี้สามารถบรรลุได้ด้วยการปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า

2. การเข้าใจสัจธรรม - การเรียนรู้สัจธรรมคือการเข้าใจถึงสภาพธรรมชาติที่แท้จริงของชีวิต ที่ทุกสิ่งไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน และไม่สามารถยึดมั่นถือมั่นได้ การรับรู้ความจริงเหล่านี้ทำให้เราสามารถปฏิบัติต่อชีวิตอย่างไม่ยึดติด และเปิดทางให้จิตสามารถพ้นจากทุกข์ได้

3. การฝึกสมาธิและสติปัฏฐาน 4 - การฝึกสมาธิและการพิจารณาผ่านสติปัฏฐาน 4 ซึ่งเป็นการตั้งสติให้รู้สึกถึงร่างกาย ความรู้สึก จิต และธรรมอย่างถูกต้อง ถือเป็นวิถีทางที่นำไปสู่การหลุดพ้น การพิจารณาตามหลักนี้จะทำให้จิตเข้าใจธรรมชาติของทุกข์และเกิดปัญญาในการปล่อยวาง

4. ปล่อยวางความยึดมั่น - สิ่งสำคัญในการหลุดพ้นคือการไม่ยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งใด พระอาจารย์ชี้ให้เห็นว่าการยึดมั่นในตัวตน ความคิด หรือสิ่งภายนอกเป็นตัวสร้างทุกข์ หากเราสามารถปล่อยวางได้ จิตจะหลุดพ้นจากพันธนาการและเข้าถึงความสงบอย่างแท้จริง

บทสรุป

คำสอนนี้ของพระอาจารย์คึกฤทธิ์เน้นถึงความสำคัญของการปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้นอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงแค่ความรู้เชิงทฤษฎีเท่านั้น การทำความเข้าใจและปฏิบัติตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าได้สอน โดยเฉพาะการพิจารณาและการฝึกสติ สมาธิ จะเป็นเครื่องนำทางให้จิตหลุดพ้นจากทุกข์ได้ในที่สุด

บทสวด:สัชฌายะปฏิจจสมุปบาท พร้อมคำแปลไทย

ปฎิจจสมุปบาท

บทสวด:ปฏิจจสมุปบาท

สัชฌายะปฏิจจสมุปบาท พร้อมคำแปลไทย

อิธะ ภิกขะเว อะริยะสาวะโก ปะฏิจจะสะมุปปาทัญเญวะ สาธุกัง โยนิโส มะนะสิกะโรติ

👉 ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมกระทำไว้ในใจ

โดยแยบคายเป็นอย่างดี ซึ่งปฏิจจสมุปบาทนั่นเทียว ดังนี้ว่า

อิมัส๎มิง สะติ อิทัง โหติ

👉 เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ย่อมมี

อิมัสสุปปาทา อิทัง อุปปัชชะติ

👉 เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น

อิมัส๎มิง อะสะติ อิทัง นะ โหติ

👉 เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี

อิมัสสะ นิโรธา อิทัง นิรุชฌะติ

👉 เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป

ยะทิทัง

👉 ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ

อะวิชชาปัจจะยา สังขารา

👉 เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย

สังขาระปัจจะยา วิญญาณัง

👉 เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ

วิญญาณะปัจจะยา นามะรูปัง

👉 เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป

นามะรูปะปัจจะยา สะฬายะตะนัง

👉 เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ

สะฬายะตะนะปัจจะยา ผัสโส

👉 เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ

ผัสสะปัจจะยา เวทะนา

👉 เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา

เวทะนาปัจจะยา ตัณหา

👉 เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา

ตัณหาปัจจะยา อุปาทานัง

👉 เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน

อุปาทานะปัจจะยา ภะโว

👉 เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ

ภะวะปัจจะยา ชาติ

👉 เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ

ชาติปัจจะยา ชะรามะระณัง โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสา สัมภะวันติ

👉 เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะปริเทวะทุกขโทมนัส

อุปายาสะทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน

เอวะเมตัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะสะมุทะโย โหติ

👉 ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้

อะวิชชายะเต๎ววะ อะเสสะวิราคะนิโรธา สังขาระนิโรโธ

👉 เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือ

แห่งอวิชชานั้นนั่นเทียว จึงมีความดับแห่งสังขาร

สังขาระนิโรธา วิญญาณะนิโรโธ

👉 เพราะมีความดับแห่งสังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ

วิญญาณะนิโรธา นามะรูปะนิโรโธ

👉 เพราะมีความดับแห่งวิญญาณ จึงมีความดับแห่งนามรูป

นามะรูปะนิโรธา สะฬายะตะนะนิโรโธ

👉 เพราะมีความดับแห่งนามรูป จึงมีความดับแห่งสฬายตนะ

สะฬายะตะนะนิโรธา ผัสสะนิโรโธ

👉 เพราะมีความดับแห่งสฬายตนะ จึงมีความดับแห่งผัสสะ

ผัสสะนิโรธา เวทะนานิโรโธ

👉 เพราะมีความดับแห่งผัสสะ จึงมีความดับแห่งเวทนา

นานิโรธา ตัณหานิโรโธ

👉 เพราะมีความดับแห่งเวทนา จึงมีความดับแห่งตัณหา

ตัณหานิโรธา อุปาทานะนิโรโธ

👉 เพราะมีความดับแห่งตัณหา จึงมีความดับแห่งอุปาทาน

อุปาทานะนิโรธา ภะวะนิโรโธ

👉 เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ

ภะวะนิโรธา ชาตินิโรโธ

👉 เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ

ชาตินิโรธา ชะรามะระณัง โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสา นิรุชฌันติ

👉 เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล ชรา มรณะ

โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสะทั้งหลาย จึงดับสิ้น

เอวะเม ตัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ นิโรโธ โหตีติ

👉 ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้

เอวะเม ตัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ นิโรโธ โหตีติ

👉 ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้

ความหมายของภพและการเกิดใหม่ในพระพุทธศาสนา: ภพ, ตัณหา, กรรม และวิญญาณ-The Meaning of Existence and Rebirth in Buddhism:

 

 ๑. ภพเป็นอย่างไร

ในพระพุทธศาสนา "ภพ" หมายถึง การมีอยู่ของรูปหรือสภาพความเป็นตัวตนในสามภพ ซึ่งแบ่งเป็น 3 อย่าง ได้แก่:

1. กามภพ - ภพที่เกิดขึ้นในภพที่ยังมีความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส และสิ่งสัมผัส

2. รูปภพ - ภพของผู้ที่เกิดในสภาวะที่มีรูป แต่ปราศจากความยินดีในกาม

3. อรูปภพ - ภพที่เกิดขึ้นในสภาวะที่ไม่มีรูป มีเพียงจิตล้วนๆ 

ใน มัชฌิมนิกาย มหาตัณหาสังขยสูตร พระพุทธเจ้าตรัสถึงภพว่า ภพคือการเกิดของอัตตาและสรรพสิ่งที่สืบต่อในรูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, และวิญญาณ นี่คือภพที่ก่อให้เกิดการเกิดใหม่ในวัฏฏะ.

 ๒. ความมีขึ้นแห่งภพ (นัยที่ ๑)

การมีขึ้นของภพเกิดจาก ตัณหา (ความอยาก) ที่เป็นสาเหตุสำคัญ ซึ่งเป็นต้นเหตุของความมีภพใหม่ ตัณหาแบ่งเป็น 3 อย่าง:

1. กามตัณหา - ความอยากในกาม

2. ภวตัณหา - ความอยากในความเป็นและการมีอยู่

3. วิภวตัณหา - ความอยากไม่ให้มีหรือไม่เป็น 

ใน สังยุตตนิกาย นิทานสังยุตต์ (SN 12.2), พระพุทธเจ้าตรัสว่า "เพราะตัณหาจึงมีภพ" ซึ่งหมายความว่า ตัณหาทำให้เกิดความติดในชีวิต และนำไปสู่การเวียนว่ายในวัฏฏะสงสาร.

 ๓. ความมีขึ้นแห่งภพ (นัยที่ ๒)

ในอีกนัยหนึ่ง ความมีขึ้นของภพยังเกิดจาก กรรม ที่กระทำไว้ทั้งดีและชั่ว กรรมเหล่านี้เป็นพลังงานที่ส่งผลให้เกิดการมีภพใหม่ตามสมบัติของกรรมที่ได้กระทำไว้ ดังที่กล่าวใน อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต (AN 3.76) พระพุทธเจ้าตรัสว่า: "สิ่งที่ยึดถือไว้ย่อมไปสู่ภพ กรรมเป็นสิ่งที่นำไปสู่การเวียนว่ายอยู่ในภพใหม่".

 ๔. เครื่องนำไปสู่ภพ

เครื่องนำไปสู่ภพ คือ ตัณหา ที่ขับเคลื่อนให้เกิดการยึดมั่นในสังขาร และก่อให้เกิดภพใหม่ ซึ่งจะนำไปสู่ความเกิด, แก่, เจ็บ, และตาย การมีเครื่องยึดเหนี่ยวเป็นความอยากในภพนั้นทำให้คนยังเวียนว่ายในสังสารวัฏต่อไป.

ใน สังยุตตนิกาย นิทานสังยุตต์ (SN 12.2) พระพุทธเจ้าตรัสว่า: "ตัณหาคือรากเหง้าและเหตุที่ก่อให้เกิดภพ, การมีอยู่ของชีวิต". 

 ๕. ความเกิดขึ้นแห่งภพใหม่

การเกิดภพใหม่เกิดขึ้นจากการที่วิญญาณยึดติดกับขันธ์ทั้งห้า ซึ่งเกิดจากการยึดมั่นในกาม, ภวะ, และวิภวะ. ภพใหม่เกิดขึ้นจากวิญญาณที่ยังติดอยู่ในกิเลสและกรรมที่ได้กระทำมา. 


 ๖. ที่ตั้งอยู่ของวิญญาณ (นัยที่ ๑)

วิญญาณต้องอาศัย รูปขันธ์ (เช่น ร่างกาย) และ จิต เพื่อให้ดำรงอยู่ วิญญาณจึงเกิดและตั้งอยู่ได้ต้องมีสภาวะที่เกิดจากการกระทำของขันธ์ทั้งห้า ดังที่กล่าวไว้ใน มหาตัณหาสังขยสูตร ว่า "วิญญาณย่อมเกิดขึ้นด้วยอาศัยปัจจัยทั้งหลาย".


 ๗. ที่ตั้งอยู่ของวิญญาณ (นัยที่ ๒)

อีกนัยหนึ่ง วิญญาณต้องการการยึดเหนี่ยวในกิเลสและตัณหาที่เป็นพลังงานทางจิต วิญญาณนี้จะไม่สามารถตั้งอยู่ได้หากปราศจากเครื่องยึดเหนี่ยว เช่น กามตัณหา หรือภวตัณหา.


 ๘. ความมีขึ้นแห่งภพ แม้มีอยู่ชั่วขณะก็น่ารังเกียจ

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ภพนั้นเต็มไปด้วยทุกข์ แม้จะมีเพียงชั่วครู่ชั่วยามก็น่ารังเกียจ เพราะภพคือการเกิดใหม่ การเกิดใหม่ย่อมนำไปสู่ความทุกข์ในการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสังสาร เช่นใน ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ที่กล่าวว่า "ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บป่วยเป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์".

การมีอยู่ของภพในแต่ละขณะ คือการเวียนว่ายในทุกข์


ผัคคุณะสูตร อ่านว่า ผัก-คุ-นะ-สูด

[๓๒๗] ก็สมัยนั้น ท่านพระผัคคุณะอาพาธ มีทุกข์เป็นไข้หนัก

             ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคม   แล้วนั่ง ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระผัคคุณะอาพาธมีทุกข์เป็นไข้หนัก  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคทรงอาศัยความอนุเคราะห์ เสด็จเข้าไปเยี่ยมท่านพระผัคคุณะเถิด พระผู้มีพระภาคทรงรับโดยดุษณีภาพ ครั้งนั้น เป็นเวลาเย็น พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่เร้น เสด็จเข้าไปเยี่ยมท่านพระผัคคุณะ  ถึงที่อยู่ท่านพระผัคคุณะ ได้เห็นพระผู้มีพระภาคกำลังเสด็จมาแต่ไกล แล้วจะลุกจากเตียง ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค  ได้ตรัสกะท่านพระผัคคุณะว่า  อย่าเลยผัคคุณะ เธออย่าลุกขึ้นจากเตียง อาสนะเหล่านี้ที่ผู้อื่นได้ปูไว้มีอยู่ เราจักนั่งบนอาสนะนั้น  พระผู้มีพระภาคได้ประทับนั่งบนอาสนะที่ได้ปูไว้แล้ว

 


            ครั้นแล้ว ได้ตรัสถามท่านพระผัคคุณะว่า ดูกรผัคคุณะเธอพออดทนได้หรือ พอยังอัตภาพให้เป็นไปได้หรือ ทุกขเวทนาย่อมบรรเทาไม่กำเริบหรือ  ปรากฏว่าบรรเทา ไม่กำเริบขึ้นหรือ ท่านพระผัคคุณะกราบทูลว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์อดทนไม่ได้ ยังอัตภาพให้เป็นไปไม่ได้  ทุกขเวทนาของข้าพระองค์กำเริบหนัก  ไม่บรรเทา ปรากฏว่ากำเริบนั้นไม่บรรเทาเลยข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เปรียบเหมือนบุรุษ มีกำลังพึงเฉือนศีรษะด้วยมีดโกนที่คมฉันใด ลมกล้าเสียดแทงศีรษะของข้าพระองค์ ฉันนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญข้าพระองค์อดทนไม่ได้ ยังอัตภาพให้เป็นไปไม่ได้ ทุกขเวทนาของข้าพระองค์กำเริบหนัก ไม่บรรเทา ปรากฏว่ากำเริบขึ้น ไม่บรรเทาเลย  เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีกำลังพึงเอาเชือกที่เหนียวแน่นพันศีรษะ ฉันใด ความเจ็บปวดที่ศีรษะของข้าพระองค์ก็มีประมาณยิ่ง ฉันนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์อดทนไม่ได้เปรียบเหมือนบุรุษฆ่าโค หรือลูกมือของบุรุษฆ่าโค เป็นคนขยันพึงใช้มีดสำหรับชำแหละโคที่คม ชำแหละท้องโค ฉันใด ลมกล้ามีประมาณยิ่งย่อมเสียดแทงท้องของข้าพระองค์ ฉันนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์อดทนไม่ได้ ...เปรียบบุรุษผู้มีกำลังสองคน จับบุรุษผู้อ่อนกำลังคนเดียวที่แขนคนละข้าง แล้วพึงลนย่างบนหลุมถ่านไฟ ฉันใด ความเร่าร้อนที่กายของข้าพระองค์ก็ประมาณยิ่งฉันนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์อดทนไม่ได้ ยังอัตภาพให้เป็นไปไม่ได้ทุกขเวทนาของข้าพระองค์กำเริบหนัก ไม่บรรเทา ปรากฏว่ากำเริบขึ้นไม่บรรเทาเลย

           ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงด้วยธรรมีกถาให้ท่านพระผัคคุณะเห็นแจ้ง    ให้สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง แล้วเสด็จลุกจากอาสนะหลีกไป  ครั้นเมื่อ พระผู้มีพระภาคเสด็จไปแล้วไม่นาน ท่านพระผัคคุณะได้กระทำกาละ  และในเวลาตายอินทรีย์ของท่านพระผัคคุณะนั้น ผ่องใสยิ่งนัก     ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับถวายบังคมแล้วนั่ง ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จจากมาไม่นาน ท่านพระผัคคุณะก็กระทำกาละ และในเวลาตาย  อินทรีย์ของท่านพระผัคคุณะผ่ององใสยิ่งนัก พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ก็อินทรีย์ของผัคคุณภิกษุจักไม่ผ่องใสได้อย่างไร จิตของผัคคุณภิกษุยังไม่หลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ จิตของผัคคุณภิกษุนั้น  ก็หลุดพ้นแล้วจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ   เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น  

           ดูกรอานนท์อานิสงส์ในการฟังธรรมโดยกาลอันควร  ในการใคร่ครวญเนื้อความแห่งธรรม  โดยกาลอันควร ประการนี้ ประการเป็นไฉน ดูกรอานนท์ จิตของภิกษุในธรรมวินัยนี้ ยังไม่หลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ในเวลาใกล้ตายเธอได้เห็นตถาคต ตถาคตย่อมแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น อันงามในท่ามกลางอันงามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิงแก่เธอ  จิตของเธอย่อมหลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ  เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น   ดูกรอานนท์ นี้เป็นอานิสงส์  ข้อที่ ในการฟังธรรมโดยกาลอันควร

              อีกประการหนึ่ง จิตของภิกษุยังไม่หลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ในเวลาใกล้ตาย เธอไม่ได้เห็นตถาคตเลย แต่ได้เห็นสาวกของพระตถาคต สาวกของพระตถาคตย่อมแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง แก่เธอ จิตของเธอย่อมหลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น ดูกรอานนท์ นี้เป็นอานิสงส์   ข้อที่ ในการฟังธรรมโดยกาลอันควร

             อีกประการหนึ่ง จิตของภิกษุยังไม่หลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ในเวลาใกล้ตาย เธอไม่ได้เห็นตถาคต และไม่ได้เห็นสาวกของตถาคตเลย แต่ย่อมตรึกตรองเพ่งด้วยใจ ซึ่งธรรมตามที่ได้ฟังมาได้เรียนมา เมื่อเธอตรึกตรองเพ่งด้วยใจ ซึ่งธรรมตามที่ได้ฟังมาได้เรียนมาอยู่ จิตของเธอย่อมหลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ดูกรอานนท์ นี้เป็นอานิสงส์    ข้อที่ ในการใคร่ครวญเนื้อความแห่งธรรมโดยกาลอันควร

             ดูกรอานนท์ จิตของมนุษย์ในธรรมวินัยนี้ ได้หลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ แต่จิตของเธอยังไม่น้อมไปในนิพพานอันเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลส  อันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ ในเวลาใกล้ตาย เธอย่อมได้เห็นพระตถาคต พระตถาคตย่อมแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น ... แก่เธอ จิตของเธอย่อมน้อมไปในนิพพานอันเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลส อันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น ดูกรอานนท์ นี้เป็นอานิสงส์   ข้อที่ ในการฟังธรรมโดยกาลอันควร

             อีกประการหนึ่ง จิตของภิกษุหลุดพ้นแล้วจากสังโยชน์ อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ แต่จิตของเธอยังไม่น้อมไปในนิพพานอันเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิ-*กิเลส อันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ ในเวลาใกล้ตาย เธอย่อมไม่ได้เห็นพระตถาคตแต่เธอย่อมได้เห็นสาวกของพระตถาคต สาวกของพระตถาคตย่อมแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น ... แก่เธอ จิตของเธอย่อมน้อมไปในนิพพานเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลส อันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น ดูกรอานนท์ นี้เป็นอานิสงส์   ข้อที่ ในการฟังธรรมโดยกาลอันควร  

              อีกประการหนึ่ง จิตของภิกษุหลุดพ้นแล้วจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ แต่จิตของเธอยังไม่น้อมไปในนิพพาน อันเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิ-*กิเลส อันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ ในเวลาใกล้ตาย เธอย่อมไม่ได้เห็นพระตถาคตและย่อมไม่ได้เห็นสาวกของพระตถาคตเลย แต่เธอย่อมตรึกตรองเพ่งด้วยใจซึ่งธรรมตามที่ได้ฟังมาได้เรียนมา เมื่อเธอตรึกตรองเพ่งด้วยใจซึ่งธรรมตามที่ได้ฟังมาได้เรียนมาอยู่ จิตของเธอย่อมน้อมไปในนิพพานอันเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลสอันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้

              ดูกรอานนท์ นี้เป็นอานิสงส์ ข้อ ในการใคร่ครวญเนื้อความแห่งธรรมโดยกาลอันควร ดูกรอานนท์ อานิสงส์ในการฟังธรรม ในการใคร่ครวญเนื้อความโดยกาลอันควร ประการนี้แล  


อ้างอิง;  https://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=22&A=8948&Z=9032

คำค้น; ผัคคุณะสูตร

อสฺสุตวตา ปุถุชฺชเนน อ่านว่า อัด-สุ-ตะ-วา-ปุ-ถุ-ชะ-เน-นะ แปลว่า...

  [๑๒๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก๔ จำพวกเป็นไฉน
คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มี วิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ รูป เวทนาสัญญา สังขาร และวิญญาณอันใด มีอยู่ในปฐมฌาน นั้น บุคคลนั้นพิจารณาเห็นธรรมเหล่านั้นโดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นดังโรค เป็นดังหัวฝีเป็นดังลูกศร เป็นของทนได้ยาก เป็นของเบียดเบียน เป็นของไม่เชื่อฟัง เป็นของต้องทำลายไป เป็นของว่างเปล่า เป็นของไม่ใช่ตน บุคคลนั้นเมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาเหล่าสุทธาวาส ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความอุบัตินี้แลไม่ทั่วไปด้วยปุถุชน ฯ

คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มี วิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ รูป เวทนาสัญญา สังขาร และวิญญาณอันใด มีอยู่ในปฐมฌาน นั้น บุคคลนั้นพิจารณาเห็นธรรมเหล่านั้นโดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นดังโรค เป็นดังหัวฝีเป็นดังลูกศร เป็นของทนได้ยาก เป็นของเบียดเบียน เป็นของไม่เชื่อฟัง เป็นของต้องทำลายไป เป็นของว่างเปล่า เป็นของไม่ใช่ตน บุคคลนั้นเมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาเหล่าสุทธาวาส ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความอุบัตินี้แลไม่ทั่วไปด้วยปุถุชน ฯ
คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มี วิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ รูป เวทนาสัญญา สังขาร และวิญญาณอันใด มีอยู่ในปฐมฌาน นั้น บุคคลนั้นพิจารณาเห็นธรรมเหล่านั้นโดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นดังโรค เป็นดังหัวฝีเป็นดังลูกศร เป็นของทนได้ยาก เป็นของเบียดเบียน เป็นของไม่เชื่อฟัง เป็นของต้องทำลายไป เป็นของว่างเปล่า เป็นของไม่ใช่ตน บุคคลนั้นเมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาเหล่าสุทธาวาส ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความอุบัตินี้แลไม่ทั่วไปด้วยปุถุชน ฯ

อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุ จตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณอันใด มีอยู่ในจตุตถฌานนั้น บุคคลนั้นย่อมพิจารณาเห็นธรรมเหล่านั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นดังโรค เป็นดังหัวฝีเป็นดังลูกศร เป็นของทนได้ยาก เป็นของเบียดเบียนเป็นของไม่เชื่อฟัง เป็นของต้องทำลายไปเป็นของว่างเปล่า เป็นของไม่ใช่ตนบุคคลนั้นเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาเหล่าสุทธาวาส ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความอุบัตินี้แลไม่ทั่วไปด้วยปุถุชน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔
จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ
จบสูตรที่ ๔

บาลี:
[๑๒๔] จตฺตาโรเม ภิกฺขเว ปุคฺคลา สนฺโต สํวิชฺชมานา โลกสฺมึ
กตเม จตฺตาโร อิธ ภิกฺขเว เอกจฺโจ ปุคฺคโล วิวิจฺเจว กาเมหิ
วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธมฺเมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ
ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ โส ยเทว ตตฺถ โหติ รูปคตํ เวทนาคตํ
โรคโต คณฺฑโต สลฺลโต อฆโต อาพาธโต ปรโต ปโลกโต สุญฺญโต
สญฺญาคตํ สงฺขารคตํ วิญฺญาณคตํ เต ธมฺเม อนิจฺจโต ทุกฺขโต อนตฺตโต สมนุปสฺสติ โส กายสฺส เภทา ปรมฺมรณา สุทฺธาวาสาน
ปุถุชฺชเนหิ ฯ ปุน จปรํ ภิกฺขเว อิเธกจฺโจ ปุคฺคโล วิตกฺกวิจารานํ
เทวานํ สหพฺยตํ อุปปชฺชติ อยํ โข ภิกฺขเว อุปปตฺติ อสาธารณา
วูปสมา ฯเปฯ ทุติยํ ฌานํ ฯเปฯ ตติยํ ฌานํ ฯเปฯ จตุตฺถํ

Sources:
Keyword: อสฺสุตวตา  ปุถุชฺชเนน

ทุจริต ๓: อาหารของนิวรณ์ ๕ และวิธีละจากคำสอนพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึง ทุจริต ๓ (ความประพฤติผิดทางกาย วาจา และใจ) ว่าเป็น "อาหาร" หรือปัจจัยที่เกื้อหนุนนิวรณ์ ๕ ใน อากังเขยยสูตร (...