อุปเนยยสูตรที่ ๓ ชีวิตคืออายุมีประมาณน้อย ถูกต้อนเข้าไปเรื่อย


สังยุตตนิกาย
สคาถวรรค
เทวตาสังยุต
นฬวรรคที่ ๑

อุปเนยยสูตรที่ ๓

เทวดานั้น ครั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า
ชีวิตคืออายุมีประมาณน้อย ถูกต้อนเข้าไปเรื่อย เมื่อบุคคลถูกชราต้อนเข้าไปแล้ว ย่อมไม่มีผู้ป้องกัน บุคคลเมื่อเห็นภัยนี้ในมรณะ พึงทำบุญทั้งหลายที่นำความสุขมาให้ ฯ
ชีวิตคืออายุมีประมาณน้อย ถูกต้อนเข้าไปเรื่อย เมื่อบุคคลถูกชราต้อนเข้าไปแล้ว ย่อมไม่มีผู้ป้องกัน บุคคลเมื่อเห็นภัยนี้ในมรณะ พึงละอามิสในโลกเสีย มุ่งสันติเถิด ฯ

"กุศลกรรมบท 10 สำคัญแค่ไหน ทำไมใครๆ ก็พูดถึง?"

กุศลกรรมบท 10 เป็นหลักธรรมสำคัญในพระพุทธศาสนา ซึ่งกล่าวถึงวิธีการปฏิบัติที่นำไปสู่ความดีงามและชีวิตที่มีความสุขทั้งในปัจจุบันและอนาคต หลักนี้ได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวางเพราะเป็นพื้นฐานของการสร้างบุญกุศลและลดบาปกรรมในชีวิตประจำวัน 

หลักสำคัญของกุศลกรรมบท 10 คือการแสดงออกถึงความคิด การกระทำ และคำพูดที่ดี โดยแบ่งออกเป็น 3 ด้านคือ กายกรรม 3 วจีกรรม 4 และมโนกรรม 3 ดังนี้: 
↘️ กายกรรม (การกระทำทางกาย) 3 
ข้อ 1. ไม่ฆ่าสัตว์ - การเคารพชีวิตและไม่เบียดเบียนสัตว์อื่น 
ข้อ 2. ไม่ลักทรัพย์ - การเคารพในทรัพย์สินของผู้อื่น 
ข้อ 3. ไม่ประพฤติผิดในกาม - การมีความสัมพันธ์ในกรอบของศีลธรรม 
↘️ วจีกรรม (การกระทำทางวาจา) 4 
ข้อ 4. ไม่พูดเท็จ - การพูดความจริงและรักษาสัจจะ 
ข้อ 5. ไม่พูดส่อเสียด - การไม่ยุแหย่ให้ผู้อื่นทะเลาะกัน 
ข้อ 6. ไม่พูดคำหยาบ - การพูดจาไพเราะและสุภาพ 
ข้อ 7. ไม่พูดเพ้อเจ้อ - การพูดที่มีประโยชน์และเหมาะสม 
↘️ มโนกรรม (การกระทำทางใจ) 3 
ข้อ 8. ไม่โลภอยากได้ของผู้อื่น - การมีความพอใจในสิ่งที่ตนเองมี 
ข้อ 9. ไม่พยาบาท - การไม่คิดร้ายต่อผู้อื่น 
ข้อ 10. มีความเห็นถูกต้อง - การมีทัศนคติที่ถูกต้องตามหลักธรรม 

🙏 ความสำคัญของกุศลกรรมบท 10 
1. สร้างความสงบสุขในสังคม: หากทุกคนปฏิบัติตามหลักนี้ ความขัดแย้งและปัญหาต่าง ๆ จะลดลง 
2. พัฒนาจิตใจให้สูงขึ้น: เป็นการฝึกจิตให้หลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นโทษ และเพิ่มพูนคุณธรรมในตน 
3. เป็นพื้นฐานของศีลธรรม: ช่วยให้บุคคลมีความประพฤติดีงาม ทั้งในมิติส่วนตัวและสังคม 
4. เตรียมความพร้อมสู่การปฏิบัติธรรมขั้นสูง: เป็นบันไดสู่การเข้าถึงปัญญาและนิพพาน 

🙏 เหตุผลที่ใคร ๆ พูดถึงกุศลกรรมบท 10 
  • เป็นหลักธรรมที่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน 
  • เป็นพื้นฐานของการดำรงชีวิตอย่างมีศีลธรรม 
  • เหมาะสำหรับการพัฒนาตนเองในทุกระดับ ตั้งแต่คนทั่วไปจนถึงนักปฏิบัติธรรม 
  • ช่วยสร้างบุญกุศลและผลดีทั้งในชาตินี้และชาติหน้า การปฏิบัติตามกุศลกรรมบท 10 จึงเป็นเหมือน "คู่มือชีวิต" ที่ทำให้คนสามารถดำรงตนในสังคมได้อย่างสงบสุข และพัฒนาจิตใจให้ดียิ่งขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงที่สุดของการพ้นทุกข์ในทางพระพุทธศาสนา
วิทยุธรรม

➡️สนับสนุนสินค้าเรา

สั่งซื้อเลย

มรรค 8: เส้นทางสู่ความดับทุกข์-buddha-dhamma-18-11-2567

หนังสือชุดพุทธวจน
สั่งซื้อเลย

มรรค 8: เส้นทางสู่ความดับทุกข์

มรรค 8 หรือ อริยมรรคมีองค์ 8 เป็นแนวทางปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบและทรงสอน เพื่อนำพาผู้ปฏิบัติให้หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง มรรค 8 นี้เปรียบเสมือนแผนที่ที่ชี้ทางไปสู่ความสงบสุขและความหลุดพ้นจากวัฏฏสงสาร

มรรค 8 ประกอบด้วยองค์ประกอบ 8 ประการ ดังนี้

  1. สัมมาทิฏฐิ: ความเห็นชอบ หมายถึง การมีความเห็นที่ถูกต้องเกี่ยวกับความจริงของชีวิต เช่น การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค
  2. สัมมาสังกัปปะ: ความดำริชอบ หมายถึง การมีความคิดที่ถูกต้อง ไม่มีความคิดที่จะเบียดเบียนผู้อื่น ไม่มีความคิดที่จะทำสิ่งที่ผิด
  3. สัมมาวาจา: การเจรจาชอบ หมายถึง การพูดแต่สิ่งที่เป็นจริง ไม่พูดปด ไม่นินทา ไม่พูดคำหยาบ
  4. สัมมากัมมันตะ: การกระทำชอบ หมายถึง การกระทำที่ถูกต้อง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม
  5. สัมมาอาชีวะ: การเลี้ยงชีพชอบ หมายถึง การประกอบอาชีพที่สุจริต ไม่เบียดเบียนผู้อื่น
  6. สัมมาวายามะ: ความพยายามชอบ หมายถึง การพยายามที่จะละทิ้งอกุศล และเจริญกุศล
  7. สัมมาสติ: การระลึกชอบ หมายถึง การมีสติระลึกอยู่เสมอในกาย เวทนา จิต และธรรม
  8. สัมมาสมาธิ: ความตั้งจิตมั่นชอบ หมายถึง การตั้งจิตให้สงบ และมีสมาธิจดจ่ออยู่ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง

ความสำคัญของมรรค 8

  • เป็นเส้นทางสายกลาง: มรรค 8 ไม่ได้เป็นการปฏิบัติที่เคร่งครัดเกินไป หรือหย่อนยานเกินไป แต่เป็นการปฏิบัติที่พอดี
  • ครอบคลุมทุกด้านของชีวิต: มรรค 8 ครอบคลุมทั้งความคิด พูด ทำ และการดำเนินชีวิตประจำวัน
  • นำไปสู่ความหลุดพ้น: การปฏิบัติตามมรรค 8 อย่างสม่ำเสมอ จะนำไปสู่ความดับทุกข์ และความหลุดพ้นจากวัฏฏสงสาร

การปฏิบัติตามมรรค 8

การปฏิบัติตามมรรค 8 นั้น ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องอาศัยความเพียรพยายาม และความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง การเริ่มต้นปฏิบัติอาจจะเริ่มจากการฝึกสติในชีวิตประจำวัน เช่น การเดินจงกรม การนั่งสมาธิ หรือการฝึกหายใจ

คำถามเพิ่มเติม:

  • คุณต้องการทราบรายละเอียดเกี่ยวกับองค์ประกอบใดของมรรค 8 มากขึ้น?
  • คุณต้องการทราบวิธีการปฏิบัติตามมรรค 8 อย่างละเอียด?
  • คุณมีคำถามอื่นๆ เกี่ยวกับมรรค 8 หรือไม่?

หมายเหตุ: ข้อมูลนี้เป็นเพียงภาพรวมของมรรค 8 หากต้องการศึกษาเพิ่มเติม ควรศึกษาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น พระไตรปิฎก หรือหนังสือที่เกี่ยวข้อง

คำแนะนำ: การปฏิบัติธรรมที่ดีที่สุด คือการปฏิบัติร่วมกับพระภิกษุสงฆ์ หรือผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในพระพุทธศาสนา

ต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติมไหมคะ?

คำสำคัญ: มรรค 8, อริยมรรค, พุทธศาสนา, ความดับทุกข์, สัมมาทิฏฐิ, สัมมาสังกัปปะ, สัมมาวาจา, สัมมากัมมันตะ, สัมมาอาชีวะ, สัมมาวายามะ, สัมมาสติ, สัมมาสมาธิ

#มรรค8 #พุทธศาสนา #ธรรมะ #ความดับทุกข์ #พุทธวจน

ขอให้เจริญในธรรมค่ะ

อ้างอิง: https://g.co/gemini/share/c67379352761

คำสอนของพระพุทธเจ้านั้นรู้ไว้ให้ถูกต้อง ส่วนการปฏิบัติให้ยึดทางสายกลาง ถูกต้องหรือไม่?-AIสอนธรรม17-11-2567

หนังสือ"มรรค(วิธี)ที่ง่าย"

แนะนำหนังสือพุทธวจน

สั่งซื้อเลย


คำถามนี้สอดคล้องกับหลักธรรมสำคัญที่พระพุทธเจ้าทรงสอน คือ อริยมรรคมีองค์แปด ซึ่งเป็นการเดินทางสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา) โดยไม่เอียงไปในสองสุดโต่ง ทั้งในด้านการเสพกามและการทรมานตนเอง

ใน ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร (SN 56.11) พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ว่า:

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การดำเนินตามทางสุดโต่งสองอย่างนี้ เป็นสิ่งที่ผู้แสวงหาความรู้ควรละทิ้งเสีย คือ การหมกมุ่นในกามสุขและการทรมานตนให้ลำบาก… ทางสายกลางที่เราได้ตรัสรู้นี้ ให้ปัญญา ให้ความสงบ ให้ปัญญาชำแรกกิเลสให้ถึงนิพพาน” 

https://suttacentral.net/sn56.11

การปฏิบัติตามทางสายกลางนั้นหมายถึงการรักษาความสมดุล ไม่สุดโต่งไปในความสุขทางโลกหรือการบำเพ็ญตบะจนร่างกายลำบาก ซึ่งจะนำไปสู่การมีศีล สมาธิ และปัญญา

ความหมายที่เกี่ยวข้องในคำถาม

  1. การรู้ให้ถูกต้อง – การมี สัมมาทิฏฐิ หรือความเห็นชอบในอริยมรรค ซึ่งก็คือการมีความเข้าใจที่ถูกต้องในธรรมะ เช่น ความจริงของทุกข์ (ทุกข์) เหตุของทุกข์ (สมุทัย) ความดับทุกข์ (นิโรธ) และหนทางปฏิบัติไปสู่การดับทุกข์ (มรรค) การรู้ให้ถูกต้องจึงหมายถึงการศึกษาธรรมและการปฏิบัติให้เข้าใจตามความเป็นจริง
  1. การปฏิบัติตามทางสายกลาง – การเดินตาม อริยมรรคมีองค์แปด ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ ซึ่งเป็นแนวทางการปฏิบัติเพื่อการพัฒนาคุณธรรมและการละกิเลส

ดังนั้น คำกล่าวที่ว่า "การรู้ให้ถูกต้อง" และ "การปฏิบัติตามทางสายกลาง" นั้น เป็นหลักธรรมที่ถูกต้อง และสอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าตรัสรูธรรมเพื่อการหลุดพ้นทุกข์ ธรรมะนั้นชื่ออะไร?

GPT

พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมเพื่อการหลุดพ้นจากทุกข์ซึ่งเราเรียกว่า อริยสัจ 4 หรือความจริงอันประเสริฐทั้งสี่ ซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ธรรมะนี้ประกอบด้วยความจริงสี่ประการ ได้แก่


  1. ทุกข์ (Dukkha) – ความจริงของทุกข์ หมายถึงความไม่สบายกายและใจทั้งหลายที่เราประสบในชีวิต ความไม่สมหวัง ความเกิดแก่เจ็บตาย เป็นต้น
  2. สมุทัย (Samudaya) – ความจริงของเหตุแห่งทุกข์ หมายถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ซึ่งก็คือ ตัณหา หรือความทะยานอยาก ความยึดมั่นในสิ่งต่าง ๆ
  3. นิโรธ (Nirodha) – ความจริงของการดับทุกข์ หมายถึงสภาวะที่ปลอดจากทุกข์ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเราสามารถดับเหตุแห่งทุกข์ได้
  4. มรรค (Magga) – ความจริงของหนทางดับทุกข์ หมายถึงหนทางการปฏิบัติเพื่อไปสู่การหลุดพ้นทุกข์ ซึ่งเรียกว่า อริยมรรคมีองค์แปด หรือทางสายกลาง

ใน ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร (SN 56.11) พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงอริยสัจ 4 เป็นครั้งแรกแก่ปัญจวัคคีย์ ซึ่งเป็นการประกาศธรรมะที่เป็นหลักสำคัญของพระพุทธศาสนา:

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสัจ 4 นี้แล คือทุกข์ อริยสัจว่าด้วยทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ อริยสัจว่าด้วยเหตุแห่งทุกข์ ความดับแห่งทุกข์ อริยสัจว่าด้วยความดับแห่งทุกข์ หนทางอันประเสริฐอันนำไปสู่ความดับแห่งทุกข์ อริยสัจว่าด้วยหนทางอันประเสริฐนั้น" https://suttacentral.net/sn56.11

อริยสัจ 4 เป็นธรรมะที่ชี้นำให้เราพ้นจากทุกข์โดยการรู้จักทุกข์ เห็นเหตุแห่งทุกข์ เข้าใจถึงสภาวะดับทุกข์ และปฏิบัติตามหนทางที่นำไปสู่การหลุดพ้น

ที่มา: https://chatgpt.com/share/6739bd5a-b658-800d-ac59-2c7e78bcf29e


อวิชชาปัจจยาสังขารา เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร





อวิชชา: ปัจจัยที่เป็นเหตุให้เกิดสังขารและการปรุงแต่งจิต


อวิชชาเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้มนุษย์ยึดมั่นในความเชื่อผิด ๆ และปรุงแต่งการกระทำ ซึ่งวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏไม่รู้จบ

อวิชชา: ทำไมความไม่รู้จึงนำไปสู่สังขาร?

อวิชชาในพุทธศาสนาหมายถึง "ความไม่รู้" หรือการขาดปัญญาที่เข้าใจความจริงของธรรมชาติ ความจริงนั้นคือการเข้าใจอนิจจัง (ความไม่เที่ยง) ทุกขัง (ความเป็นทุกข์) และอนัตตา (การไม่มีตัวตน) อวิชชานี้จึงนำไปสู่การปรุงแต่งหรือสังขาร ซึ่งเป็นการกระทำ ความคิด หรือคำพูดที่เกิดขึ้นจากการขาดความเข้าใจในธรรมชาติ

เพราะอวิชชาเป็นความไม่รู้ที่มองโลกตามทิศทางของกิเลส เช่น ความโลภ โกรธ หลง มนุษย์จึงมักปรุงแต่งจิตและกระทำในสิ่งที่นำไปสู่ความทุกข์ ตัวอย่างเช่น ความไม่รู้ทำให้เรายึดมั่นในความสุขชั่วคราว คิดว่ามันจะอยู่กับเราอย่างยั่งยืน เมื่อความสุขนั้นจางหายไป เราจึงตกอยู่ในความทุกข์ สังขารเหล่านี้เกิดจากความพยายามในการเติมเต็มความต้องการที่ไม่มีวันสิ้นสุด และวนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร

การทำลายอวิชชาโดยปัญญาคือการที่เราสามารถตระหนักรู้และเข้าใจถึงธรรมชาติที่แท้จริงของชีวิต ซึ่งจะทำให้สังขารลดน้อยลง และไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป

อธิบายการเกิดของจิต มโนวิญญาณ ตามพุทธวจน

ในพุทธวจนะ มีการอธิบายถึง “จิต” “มโน” และ “วิญญาณ” ในแง่ของกระบวนการรับรู้และการเกิดขึ้นของความรู้สึกและการรับรู้อย่างละเอียด 

โดยทั้งสามคำนี้มีความสัมพันธ์กันในกระบวนการของจิตใจและการรับรู้ของมนุษย์ โดยแต่ละคำมีความหมายและหน้าที่ที่ต่างกันไปบ้าง ดังนี้: 
 1. จิต (Citta) จิต หมายถึง สภาพการรับรู้หรืออารมณ์ที่เกิดขึ้นในขณะหนึ่ง ๆ ตามพุทธวจนะ จิตเป็นสภาวะที่สามารถแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ไม่คงที่ และมีลักษณะคือเกิดขึ้นและดับไปในทุกขณะ เป็นสิ่งที่ถูกกระทบโดยอารมณ์และสิ่งต่างๆ จิตสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามการฝึกฝนและพัฒนา ซึ่งในการปฏิบัติธรรม พุทธเจ้าทรงสอนให้พยายามพัฒนาและฝึกฝนจิตให้เกิดความสงบและปล่อยวาง ใน ธัมมปท พระพุทธเจ้าตรัสถึงความสำคัญของการฝึกฝนจิตว่า: 
 > “จิตนี้แล เป็นสิ่งที่เร่าร้อน สั่นไหว ปรุงแต่งง่าย แต่หากใครรู้จักฝึกฝน ควบคุมจิตนี้ได้ จิตนั้นย่อมสามารถนำมาซึ่งสุขได้อย่างแท้จริง” การฝึกจิตให้สงบ เป็นการควบคุมความคิดและความรู้สึกให้รู้จักสภาวะของการปล่อยวาง ไม่ให้ยึดติดอยู่กับสิ่งใด 
 2. มโน (Mano) มโน หมายถึง “ใจ” หรือ "เครื่องปรุงแต่ง" เป็นฐานของความคิด การวิเคราะห์ และการแยกแยะ มโนทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการจัดการข้อมูลและอารมณ์ที่เข้ามาปรุงแต่งให้เป็นความคิดหรือการตัดสินใจ พระพุทธเจ้าตรัสว่า มโนมีบทบาทในการปรุงแต่งอารมณ์และสรรพสิ่งต่างๆ ให้เกิดการยึดติดหรือการสร้างกรรม เช่น การมองเห็นสิ่งใดแล้วมีความชอบหรือชังขึ้นในใจ จนเกิดการกระทำและผลของการกระทำนั้น ใน มชฺฌิมนิกาย พระพุทธเจ้าตรัสถึงบทบาทของมโนว่า:
 > “มโนเป็นสภาพที่ปรุงแต่ง ยึดถืออารมณ์ จึงเกิดเป็นการกระทำ (กรรม) และส่งผล (วิบาก) ให้ผู้กระทำตามอารมณ์ที่ยึดถือ” ดังนั้น การตระหนักถึงบทบาทของมโน จึงมีความสำคัญในการลดการยึดติดและหลุดพ้นจากความทุกข์ 
 3. วิญญาณ (Viññāṇa) วิญญาณ คือ “การรับรู้” หรือ “ความรู้สึกตัว” ซึ่งหมายถึงการรับรู้หรือสำนึกในสิ่งต่างๆ ที่เข้ามากระทบทางอายตนะทั้ง 6 (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) พระพุทธเจ้าอธิบายว่า วิญญาณเกิดขึ้นจากการสัมผัสของอายตนะภายนอกกับอายตนะภายใน ตัวอย่างเช่น เมื่อดวงตามองเห็นรูป วิญญาณทางตาจึงเกิดขึ้น หรือเมื่อหูได้ยินเสียง วิญญาณทางหูก็เกิดขึ้น วิญญาณจึงเป็นผลของการกระทบอายตนะทั้งหลาย ใน สังยุตตนิกาย พระพุทธเจ้าตรัสว่า: 
 > “เมื่อมีอายตนะภายใน (อินทรีย์) และมีอารมณ์ภายนอก (รูป เสียง กลิ่น ฯลฯ) วิญญาณย่อมเกิดขึ้น ณ ที่นั้น และเมื่อไม่มีอายตนะและอารมณ์นั้น วิญญาณย่อมดับไป” 

 ดังนั้น จิต มโน และวิญญาณจึงเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทางจิตใจที่มีความสัมพันธ์กันในการรับรู้ ปรุงแต่ง และการยึดติด ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถนำไปสู่ความทุกข์ได้ หากไม่ได้รับการฝึกฝนและควบคุมอย่างถูกต้อง

ทิศหก:พระสูตร-สิงคาลกสูตร

พระสูตร Siṅgālasutta—Siam Rath ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ๑๓ สิงคาลกสูตร ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหาร...