Sunday 20 October 2024

ความหมายและความสำคัญของบทสวดอิติปิโสในพุทธศาสนา-The meaning and significance of the Itipiso prayer in Buddhism.

อิติปิโส

บทสวด "อิติปิโส" เป็นบทสวดสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในพุทธศาสนาเถรวาท บทนี้ถูกใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาต่างๆ รวมถึงการสวดมนต์ในชีวิตประจำวันของชาวพุทธ เป็นการสรรเสริญถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า โดยการระลึกถึงคุณธรรมสูงสุดที่พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญมา

บทสวดอิติปิโส:

อิติปิ โส ภควา อรหัง สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุทฺโธ ภควาติ

คำแปล:

“เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีใครยิ่งกว่า เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระผู้มีพระภาคเจ้า”


 การสรรเสริญคุณธรรมสำคัญของพระพุทธเจ้าในบทอิติปิโส


1. อรหัง: พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้สิ้นกิเลสโดยสิ้นเชิง ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้ท่านกลับเข้าสู่สังสารวัฏอีก พระองค์เป็นผู้หลุดพ้นจากความโลภ ความโกรธ และความหลง


2. สัมมาสัมพุทโธ: พระพุทธองค์เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง ไม่ต้องมีครูบาอาจารย์สอน ทรงบรรลุถึงสัจธรรมของชีวิตและการดับทุกข์


3. วิชชาจรณสมฺปนฺโน: พระพุทธองค์เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชา (ความรู้ที่สมบูรณ์) และจรณะ (การประพฤติที่บริสุทธิ์) แสดงถึงการมีความรู้ลึกซึ้งและการประพฤติปฏิบัติที่ดีงามควบคู่กัน


4. สุคโต: พระพุทธองค์เป็นผู้ไปดีแล้ว ทรงมุ่งหน้าสู่จุดหมายอันสูงสุดแห่งนิพพาน และยังเป็นผู้ไปในทางที่ดีงาม ถูกต้อง


5. โลกวิทู: พระพุทธองค์เป็นผู้รู้แจ้งโลก ไม่เพียงแค่ทางปัญญา แต่ยังรวมถึงการเข้าใจธรรมชาติของจิตใจและธรรมชาติของความทุกข์ในโลกนี้


6. อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ: พระพุทธองค์เป็นสารถีที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการฝึกสอนบุรุษที่ควรฝึก ทรงมีความสามารถในการแนะนำและนำพาผู้คนให้หลุดพ้นจากความทุกข์


7. สตฺถา เทวมนุสฺสานํ: พระพุทธองค์เป็นครูของทั้งเทวดาและมนุษย์ แสดงถึงบทบาทของท่านในฐานะผู้สอนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกและสวรรค์


8. พุทฺโธ: พระพุทธองค์ทรงเป็น "ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน" ด้วยสติปัญญาอันบริสุทธิ์ที่ได้ตรัสรู้ถึงสัจธรรม


9. ภควา: พระพุทธองค์เป็นผู้มีภาคยศ (มีความเจริญรุ่งเรืองในคุณธรรม) แสดงถึงความเป็นพระอรหันต์และความสมบูรณ์ทางจิตวิญญาณ


 ปรากฏในพระไตรปิฎก

บทสวด "อิติปิโส" มีความสำคัญในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า (พุทธานุสสติ) ปรากฏใน พระวินัยปิฎก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระไตรปิฎก นอกจากนี้ การระลึกถึงพระพุทธคุณที่กล่าวในบทสวดนี้ยังเป็นแนวทางในการฝึกฝนจิตใจของผู้ปฏิบัติ เป็นการตั้งจิตสำนึกให้ระลึกถึงคุณธรรมสูงสุดที่พระพุทธองค์ทรงบรรลุ และเป็นการเสริมสร้างสติ สมาธิ และปัญญา


การสวดมนต์ "อิติปิโส" ยังเป็นการเจริญสติอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเจริญ พุทธานุสสติ ซึ่งหมายถึงการระลึกถึงพระพุทธเจ้าเพื่อสร้างศรัทธาและสมาธิในจิตใจของผู้สวด ด้วยการระลึกถึงคุณธรรมอันสูงส่งของพระพุทธเจ้า ผู้ปฏิบัติจึงสามารถปล่อยวางกิเลสและพัฒนาปัญญาในการพิจารณาธรรม


 ความสำคัญในพุทธศาสนา

บทสวดอิติปิโสไม่เพียงแต่ใช้ในการสวดมนต์หรือพิธีกรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องเตือนใจให้ชาวพุทธได้น้อมระลึกถึงคุณธรรมและความเป็นพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ท่านทรงเป็นแบบอย่างในการดำรงชีวิตที่ปราศจากกิเลส และทรงชี้ทางสว่างให้กับผู้ที่ต้องการหลุดพ้นจากทุกข์


การระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้าโดยการสวด "อิติปิโส" จึงเป็นการบ่มเพาะคุณธรรมในใจผู้ปฏิบัติ และเป็นวิธีการที่ช่วยให้จิตใจสงบและมีสติพร้อมที่จะปฏิบัติธรรมในทุกวัน


Saturday 12 October 2024

สัตว์ในสังสารวัฏ: ความหมาย เหตุให้เกิด ลักษณะของการเกิด และคติ ๕: Animals in samsara: The meaning of the nature of birth and motto 5

 

 ๙. ความหมายของคำว่า “สัตว์”  
ในทางพระพุทธศาสนา คำว่า "สัตว์" หมายถึง สิ่งมีชีวิตที่มีจิตใจหรือวิญญาณ ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนการเกิดและการดำรงอยู่ในภพต่าง ๆ ทั้งนี้ "สัตว์" ในที่นี้ไม่จำกัดเฉพาะมนุษย์ แต่รวมถึงสัตว์เดรัจฉาน เทวดา และสรรพสิ่งในวัฏจักรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด หรือ สังสารวัฏ.

 ๑๐. เหตุให้มีการเกิด  
การเกิดของสัตว์ทั้งหลายนั้นมีเหตุปัจจัยมาจาก อวิชชา (ความไม่รู้) และ ตัณหา (ความทะยานอยาก) ที่เป็นรากเหง้าของการเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ โดยอวิชชาเป็นเหตุให้เกิดความยึดมั่นในตนและสิ่งต่าง ๆ ส่วนตัณหาทำให้จิตยึดถือและต้องการในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสต่างๆ ซึ่งเมื่อเกิดความยึดติดก็เป็นเหตุให้ต้องเวียนเกิดเวียนตายต่อไป

พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องนี้ใน ปฏิจจสมุปบาท ซึ่งแสดงถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้มีการเกิด (ชาติ) โดยเริ่มจาก อวิชชา นำไปสู่การกระทำ (กรรม) ที่ทำให้เกิดผล คือการเกิดในภพใหม่

 “เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี... เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี”

 ๑๑. ลักษณะของการเกิด  
ลักษณะของการเกิดมีหลายรูปแบบตามภพภูมิที่สัตว์เวียนว่ายอยู่ เช่น การเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา สัตว์เดรัจฉาน หรือในนรก ขึ้นอยู่กับกรรมที่กระทำในอดีตชาติ การเกิดนี้ไม่จำเป็นต้องหมายถึงการเกิดทางกายภาพเสมอไป แต่ยังหมายถึงการเกิดในภาวะทางจิตใจ เช่น การเกิดความโกรธ ความหลง หรือความสุข ซึ่งเป็นผลจากเหตุปัจจัยทางจิตใจและกรรม

 ๑๒. กายแบบต่างๆ  
ในคำสอนของพระพุทธเจ้า ทรงกล่าวถึงกาย 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ  
1. รูปกาย คือร่างกายทางกายภาพที่เราสามารถเห็นและสัมผัสได้
2. นามกาย คือกายทางจิตที่ประกอบด้วยจิตใจ ความรู้สึก ความจำ และการรับรู้ (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)

สัตว์ที่เกิดในภพภูมิต่างๆ อาจมีลักษณะของกายแตกต่างกันตามภพภูมิที่อยู่ เช่น เทวดามีรูปกายละเอียดกว่ามนุษย์ แต่ยังมีความทุกข์และการเกิดดับเช่นกัน

 ๑๓. คติ ๕ และอุปมา  
คติ ๕ หมายถึงภพภูมิที่สัตว์สามารถเกิดได้ตามกรรม ได้แก่  
1. นรกภูมิ – ที่อยู่ของสัตว์ที่ทำกรรมหนัก ต้องเสวยทุกข์  
2. เปรตภูมิ – ที่อยู่ของสัตว์ผู้มีความทุกข์และความหิวโหย  
3. อสุรกายภูมิ – ที่อยู่ของสัตว์ที่มีความทุเรศและทุกข์ทรมาน  
4. สัตว์เดรัจฉานภูมิ – ที่อยู่ของสัตว์ที่ต้องเวียนว่ายอยู่ในโลก  
5. มนุษย์ภูมิ – ภพภูมิของมนุษย์ที่มีโอกาสสร้างบุญบารมี

อุปมา พระพุทธเจ้าทรงใช้การเปรียบเทียบหลายอย่าง เช่น การเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏดั่งใบไม้ที่ร่วงหล่นหรือท้องทะเลที่ไม่มีที่สิ้นสุด สะท้อนถึงความยากลำบากในการหลุดพ้นจากวัฏจักรแห่งการเกิดดับ

ความหมายของภพและการเกิดใหม่ในพระพุทธศาสนา: ภพ, ตัณหา, กรรม และวิญญาณ-The Meaning of Existence and Rebirth in Buddhism:

 

 ๑. ภพเป็นอย่างไร

ในพระพุทธศาสนา "ภพ" หมายถึง การมีอยู่ของรูปหรือสภาพความเป็นตัวตนในสามภพ ซึ่งแบ่งเป็น 3 อย่าง ได้แก่:

1. กามภพ - ภพที่เกิดขึ้นในภพที่ยังมีความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส และสิ่งสัมผัส

2. รูปภพ - ภพของผู้ที่เกิดในสภาวะที่มีรูป แต่ปราศจากความยินดีในกาม

3. อรูปภพ - ภพที่เกิดขึ้นในสภาวะที่ไม่มีรูป มีเพียงจิตล้วนๆ 

ใน มัชฌิมนิกาย มหาตัณหาสังขยสูตร พระพุทธเจ้าตรัสถึงภพว่า ภพคือการเกิดของอัตตาและสรรพสิ่งที่สืบต่อในรูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, และวิญญาณ นี่คือภพที่ก่อให้เกิดการเกิดใหม่ในวัฏฏะ.

 ๒. ความมีขึ้นแห่งภพ (นัยที่ ๑)

การมีขึ้นของภพเกิดจาก ตัณหา (ความอยาก) ที่เป็นสาเหตุสำคัญ ซึ่งเป็นต้นเหตุของความมีภพใหม่ ตัณหาแบ่งเป็น 3 อย่าง:

1. กามตัณหา - ความอยากในกาม

2. ภวตัณหา - ความอยากในความเป็นและการมีอยู่

3. วิภวตัณหา - ความอยากไม่ให้มีหรือไม่เป็น 

ใน สังยุตตนิกาย นิทานสังยุตต์ (SN 12.2), พระพุทธเจ้าตรัสว่า "เพราะตัณหาจึงมีภพ" ซึ่งหมายความว่า ตัณหาทำให้เกิดความติดในชีวิต และนำไปสู่การเวียนว่ายในวัฏฏะสงสาร.

 ๓. ความมีขึ้นแห่งภพ (นัยที่ ๒)

ในอีกนัยหนึ่ง ความมีขึ้นของภพยังเกิดจาก กรรม ที่กระทำไว้ทั้งดีและชั่ว กรรมเหล่านี้เป็นพลังงานที่ส่งผลให้เกิดการมีภพใหม่ตามสมบัติของกรรมที่ได้กระทำไว้ ดังที่กล่าวใน อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต (AN 3.76) พระพุทธเจ้าตรัสว่า: "สิ่งที่ยึดถือไว้ย่อมไปสู่ภพ กรรมเป็นสิ่งที่นำไปสู่การเวียนว่ายอยู่ในภพใหม่".

 ๔. เครื่องนำไปสู่ภพ

เครื่องนำไปสู่ภพ คือ ตัณหา ที่ขับเคลื่อนให้เกิดการยึดมั่นในสังขาร และก่อให้เกิดภพใหม่ ซึ่งจะนำไปสู่ความเกิด, แก่, เจ็บ, และตาย การมีเครื่องยึดเหนี่ยวเป็นความอยากในภพนั้นทำให้คนยังเวียนว่ายในสังสารวัฏต่อไป.

ใน สังยุตตนิกาย นิทานสังยุตต์ (SN 12.2) พระพุทธเจ้าตรัสว่า: "ตัณหาคือรากเหง้าและเหตุที่ก่อให้เกิดภพ, การมีอยู่ของชีวิต". 

 ๕. ความเกิดขึ้นแห่งภพใหม่

การเกิดภพใหม่เกิดขึ้นจากการที่วิญญาณยึดติดกับขันธ์ทั้งห้า ซึ่งเกิดจากการยึดมั่นในกาม, ภวะ, และวิภวะ. ภพใหม่เกิดขึ้นจากวิญญาณที่ยังติดอยู่ในกิเลสและกรรมที่ได้กระทำมา. 


 ๖. ที่ตั้งอยู่ของวิญญาณ (นัยที่ ๑)

วิญญาณต้องอาศัย รูปขันธ์ (เช่น ร่างกาย) และ จิต เพื่อให้ดำรงอยู่ วิญญาณจึงเกิดและตั้งอยู่ได้ต้องมีสภาวะที่เกิดจากการกระทำของขันธ์ทั้งห้า ดังที่กล่าวไว้ใน มหาตัณหาสังขยสูตร ว่า "วิญญาณย่อมเกิดขึ้นด้วยอาศัยปัจจัยทั้งหลาย".


 ๗. ที่ตั้งอยู่ของวิญญาณ (นัยที่ ๒)

อีกนัยหนึ่ง วิญญาณต้องการการยึดเหนี่ยวในกิเลสและตัณหาที่เป็นพลังงานทางจิต วิญญาณนี้จะไม่สามารถตั้งอยู่ได้หากปราศจากเครื่องยึดเหนี่ยว เช่น กามตัณหา หรือภวตัณหา.


 ๘. ความมีขึ้นแห่งภพ แม้มีอยู่ชั่วขณะก็น่ารังเกียจ

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ภพนั้นเต็มไปด้วยทุกข์ แม้จะมีเพียงชั่วครู่ชั่วยามก็น่ารังเกียจ เพราะภพคือการเกิดใหม่ การเกิดใหม่ย่อมนำไปสู่ความทุกข์ในการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสังสาร เช่นใน ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ที่กล่าวว่า "ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บป่วยเป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์".

การมีอยู่ของภพในแต่ละขณะ คือการเวียนว่ายในทุกข์


Tuesday 8 October 2024

Fortune Telling Articles หมอดู: มิจฉา หรือ สัมมาทิฏฐิ? มองผ่านเลนส์แห่งพระไตรปิฎก

หมอดู

บทความ: หมอดู: มิจฉา หรือ สัมมาทิฏฐิ? มองผ่านเลนส์แห่งพระไตรปิฎก

การพึ่งพาหมอดูเพื่อทำนายอนาคตหรือแก้ไขปัญหาชีวิตเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไปในสังคมไทยและหลายสังคมทั่วโลก แต่คำถามที่น่าสนใจคือ การกระทำเช่นนี้สอดคล้องกับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาหรือไม่? บทความนี้จะพยายามวิเคราะห์แนวคิดเรื่องหมอดู โดยใช้หลักธรรมในพระไตรปิฎกเป็นตัวตั้ง เพื่อให้ผู้อ่านได้พิจารณาอย่างรอบด้าน

หมอดูในสายตาของพระพุทธศาสนา

พระพุทธศาสนาสอนให้พึ่งพาตนเองและกรรมที่ตนได้กระทำมา การพึ่งพาสิ่งภายนอก เช่น การไปดูดวง หรือขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้ชีวิตราบรื่นนั้น ถือเป็นการหลงผิดและไม่เป็นไปตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

  • ความไม่แน่นอนของอนาคต: พระพุทธศาสนาสอนว่าอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับกรรมที่เราได้กระทำมา และปัจจุบันที่เราสร้างขึ้น การพยายามจะรู้ล่วงหน้าว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร จึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ และอาจทำให้เราหลงใหลในสิ่งที่ไม่แน่นอน
  • การพึ่งตนเอง: พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราพึ่งพาตนเองในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาตนเอง การพึ่งพาผู้อื่น หรือสิ่งภายนอกมากเกินไป จะทำให้เราขาดความสามารถในการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง
  • ความหลงผิดในอำนาจเหนือธรรมชาติ: การเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติ หรือการที่ผู้อื่นสามารถทำนายอนาคตได้อย่างแม่นยำ เป็นความเชื่อที่ไม่สอดคล้องกับหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา ซึ่งเน้นที่เหตุและผล

สัมมาทิฏฐิ: มุมมองที่ถูกต้อง

สัมมาทิฏฐิ หมายถึงความเห็นที่ถูกต้อง คือการเห็นตามความเป็นจริง ไม่หลงผิดในสิ่งที่ไม่ใช่ความจริง การมีสัมมาทิฏฐิจะนำไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้อง และนำไปสู่ความสุขและความหลุดพ้น

แทนที่จะไปพึ่งพาหมอดู เราควรหันมาพัฒนาตนเองด้วยการศึกษาพระธรรมคำสอน ฝึกปฏิบัติธรรม เพื่อให้เกิดปัญญาและความเข้าใจในธรรมชาติของสิ่งต่างๆ เมื่อเรามีปัญญา เราก็จะสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ในชีวิตได้ด้วยตนเอง

สรุป

การไปหาหมอดูอาจเป็นการให้ความบันเทิง หรือเป็นการปลอบใจ แต่หากเราเชื่อมั่นในคำทำนายของหมอดูมากเกินไป อาจทำให้เราขาดความพยายามในการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง และอาจนำไปสู่ความทุกข์ใจในระยะยาว การปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาสัมมาทิฏฐิ จะเป็นหนทางที่นำไปสู่ความสุขที่แท้จริงและยั่งยืนมากกว่า

คำแนะนำ:

  • ศึกษาพระธรรมคำสอน: การศึกษาพระธรรมคำสอนอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้เราเข้าใจธรรมชาติของชีวิตและสิ่งต่างๆ ได้อย่างลึกซึ้ง
  • ฝึกปฏิบัติธรรม: การฝึกปฏิบัติธรรมจะช่วยให้จิตใจสงบและปัญญาเกิดขึ้น
  • พัฒนาตนเอง: การพัฒนาตนเองในทุกๆ ด้าน จะช่วยให้เรามีความสามารถในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ในชีวิตได้ด้วยตนเอง

ท้ายที่สุดแล้ว การตัดสินใจที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อในหมอดู เป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่การมีสติและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบคอบ ก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเองมากที่สุด

หมายเหตุ: บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อนำเสนอมุมมองเกี่ยวกับการไปหาหมอดูตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ไม่ได้มีเจตนาจะวิจารณ์หรือดูถูกความเชื่อของผู้อื่น

คำสำคัญ: หมอดู, พระไตรปิฎก, สัมมาทิฏฐิ, มิจฉาทิฏฐิ, พุทธศาสนา, การพัฒนาตนเอง

#หมอดู #พระพุทธศาสนา #สัมมาทิฏฐิ #พัฒนาตนเอง

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถศึกษาได้จากพระไตรปิฎก หรือปรึกษาพระภิกษุสงฆ์

หมายเหตุ: บทความนี้เขียนโดย AI โปรดตรวจสอบแหล่งข้อมูลอ้างอิง 

  • ความน่าเชื่อถือ: เลือกแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ หรือหนังสือที่เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญ
  • ความหลากหลาย: พยายามหาแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย เพื่อให้ได้มุมมองที่ครอบคลุม
  • การอ้างอิงที่ถูกต้อง: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าการอ้างอิงเป็นไปตามรูปแบบ APA อย่างถูกต้อง
  • การตีความ: การตีความพระไตรปิฎกอาจมีความแตกต่างกันไป ขอแนะนำให้ปรึกษาพระภิกษุสงฆ์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านพระพุทธศาสนาเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง
  • ความหมายและความสำคัญของบทสวดอิติปิโสในพุทธศาสนา-The meaning and significance of the Itipiso prayer in Buddhism.

    บทสวด "อิติปิโส" เป็นบทสวดสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในพุทธศาสนาเถรวาท บทนี้ถูกใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาต่างๆ รวมถ...

    BuddhaWajana Live