ทุจริต ๓: อาหารของนิวรณ์ ๕ และวิธีละจากคำสอนพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึง ทุจริต ๓ (ความประพฤติผิดทางกาย วาจา และใจ) ว่าเป็น "อาหาร" หรือปัจจัยที่เกื้อหนุนนิวรณ์ ๕ ใน อากังเขยยสูตร (https://suttacentral.net/mn6) ซึ่งเป็นพระสูตรที่กล่าวถึงการละเว้นจากทุจริต ๓ และผลที่เกิดจากการปฏิบัติด้วยความตั้งมั่นในศีล สมาธิ และปัญญา เพื่อหลุดพ้นจากนิวรณ์

คำสอนในพระสูตร

ในอากังเขยยสูตร พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า บุคคลที่ปรารถนาความบริสุทธิ์ในกาย วาจา และใจ ต้องเริ่มต้นด้วยการหลีกเลี่ยงทุจริต ๓ คือ:

1. กายทุจริต - การกระทำผิดทางกาย เช่น การฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ หรือประพฤติผิดในกาม


2. วจีทุจริต - การพูดผิด เช่น โกหก พูดคำหยาบ พูดส่อเสียด หรือพูดเพ้อเจ้อ


3. มโนทุจริต - การคิดผิดในใจ เช่น ความโลภ ความพยาบาท หรือความเห็นผิด



ทุจริต ๓ นี้ถือเป็นรากเหง้าของ นิวรณ์ ๕ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่ปิดกั้นจิตใจไม่ให้เจริญในสมาธิและปัญญา ได้แก่:

1. กามฉันทะ (ความพอใจในกาม) - อาหารของมันคือความคิดโลภและความปรารถนา


2. พยาบาท (ความโกรธ) - อาหารของมันคือความพยาบาทและการไม่ให้อภัย


3. ถีนมิทธะ (ความง่วงซึม) - อาหารของมันคือความขี้เกียจและความเฉื่อยชา


4. อุทธัจจกุกกุจจะ (ความฟุ้งซ่านและความร้อนใจ) - อาหารของมันคือการขาดสติ


5. วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย) - อาหารของมันคือความไม่เข้าใจธรรม



ความหมายโดยละเอียด

ทุจริต ๓ เป็นต้นเหตุของนิวรณ์ ๕ เพราะ:

กายทุจริต ส่งเสริมกามฉันทะและพยาบาท เช่น การประพฤติผิดในกาม ย่อมนำมาซึ่งความอยากและความโกรธ

วจีทุจริต ทำให้เกิดพยาบาทและอุทธัจจกุกกุจจะ เช่น การพูดโกหกหรือคำหยาบนำไปสู่ความร้าวฉานและความฟุ้งซ่าน

มโนทุจริต เช่น ความโลภและความเห็นผิด ย่อมเกื้อหนุนกามฉันทะและวิจิกิจฉา


การปฏิบัติที่แนะนำ

เพื่อแก้ไขและกำจัดนิวรณ์ ๕ พระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้ปฏิบัติตาม ศีล สมาธิ ปัญญา:

1. รักษาศีล - การหลีกเลี่ยงทุจริต ๓ เป็นขั้นแรกเพื่อหยุดการเกื้อหนุนของนิวรณ์


2. พัฒนาสมาธิ - ใช้การเจริญสติในอานาปานสติ (การหายใจเข้าออก) เพื่อทำจิตให้สงบและพ้นจากนิวรณ์


3. เจริญปัญญา - เมื่อจิตสงบและมีสมาธิ ใช้การพิจารณาธรรมเพื่อเห็นตามความเป็นจริงของนิวรณ์และปล่อยวาง



อ้างอิงเพิ่มเติม

ใน กามสูตร (https://suttacentral.net/sn45.8) พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า "ผู้ที่ละนิวรณ์ ๕ ได้ ย่อมเข้าถึงสุขอันประณีตในสมาธิและวิปัสสนา" ซึ่งแสดงถึงผลของการละทุจริตและการดับนิวรณ์

สรุป: การละทุจริต ๓ เป็นการป้องกันไม่ให้นิวรณ์ ๕ เจริญเติบโตในจิตใจ และเป็นการวางรากฐานสำคัญสำหรับการเจริญสมาธิและปัญญา เพื่อให้เกิดปัญญารู้แจ้งในอริยสัจ ๔ และบรรลุพระนิพพานในที่สุด

[There may be an occasional error in linking to the correct sutta due to the available training data.]

แนะนำชุดไตรจีวร ใน TikTok

ชุดที่ขายดี ไตรจีวรพระสงฆ์ไตรเต็ม 7 ชิ้น ผ้าไตรจีวรโทเร 7ชิ้น จีวรคู่(ครบชุด)

ดูรายละเอียด

การพัฒนาทางจิตใจและปัญญา จากการรักษาศีล

ใน กิมัตถิยสูตร (Anguttara Nikaya 10.1) พระพุทธเจ้าทรงอธิบายถึงความสำคัญและผลลัพธ์ของศีล โดยชี้ให้เห็นถึงการพัฒนาทางจิตใจและปัญญาที่เกิดขึ้นอย่างเป็นลำดับขั้นเมื่อปฏิบัติศีลอย่างเคร่งครัดและถูกต้อง ทรงแสดงแก่พระอานนท์ว่าศีลเป็นรากฐานที่นำไปสู่การหลุดพ้นโดยลำดับ ดังนี้:

1. ศีลที่เป็นกุศล: การรักษาศีลอย่างบริสุทธิ์เป็นพื้นฐานของความดีงามในชีวิต นำมาซึ่งผลคือความไม่มีความคับแค้นใจ (อวิปปฏิสาร)


2. อวิปปฏิสาร: การไม่คับแค้นใจทำให้เกิดความปลื้มปิติใจ (ปราโมทย์) อันเป็นผลจากความสบายใจในความประพฤติที่ดีงาม


3. ปราโมทย์: ความปลื้มปิติใจนำมาซึ่งความอิ่มเอิบยินดี (ปีติ) ที่ละเอียดขึ้น


4. ปีติ: ความอิ่มเอิบนี้ส่งผลให้จิตสงบ (ปัสสัทธิ) และเบาใจ


5. ปัสสัทธิ: ความสงบใจส่งผลให้เกิดสุขทางใจที่ลึกซึ้ง (สุข)


6. สุข: สุขนี้ทำให้จิตตั้งมั่น (สมาธิ) ซึ่งเป็นรากฐานของการพิจารณาเห็นตามความเป็นจริง


7. สมาธิ: สมาธิทำให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริงในสภาวะทั้งปวง (ยถาภูตญาณทัสสนะ)


8. ยถาภูตญาณทัสสนะ: ความรู้แจ้งนี้นำไปสู่ความหน่ายในกิเลส (นิพพิทา) และคลายความยึดมั่นในสังขาร (วิราคะ)


9. นิพพิทาวิราคะ: เมื่อเกิดความหน่ายและคลายกำหนัด จะนำไปสู่การหลุดพ้น (วิมุตติ) และความรู้แจ้งในภาวะหลุดพ้น (วิมุตติญาณทัสสนะ)


10. วิมุตติญาณทัสสนะ: การรู้แจ้งในภาวะหลุดพ้นนี้เป็นอานิสงส์สูงสุดของศีล นำไปสู่อรหัตผล



สรุป:
พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นว่า ศีลเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาจิตและปัญญา นำไปสู่ความหลุดพ้นจากทุกข์อย่างเป็นลำดับ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการเริ่มต้นจากศีลที่ดี ย่อมนำไปสู่สมาธิและปัญญาที่ลึกซึ้ง และท้ายที่สุดนำไปสู่การบรรลุพระนิพพาน

สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่: https://suttacentral.net/an10.1
[There may be an occasional error in linking to the correct sutta due to the available training data.]


Meriko Kojic X Glutaplus Body Cream วิตามิน C,E

ช่วยให้ผิวดูขาวกระจ่างใสใน 7 วัน! ซื้อ 2 กระปุกใหญ่ ในราคาเพียง 590 บาท จากปกติ 1,180 บาท

สั่งซื้อเลย

ทิศหก:พระสูตร-สิงคาลกสูตร

พระสูตร
Siṅgālasutta—Siam Rath

ทีฆนิกาย
ปาฏิกวรรค

๑๓ สิงคาลกสูตร


ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน อันเป็นที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์ สมัยนั้น สิงคาลกคฤหบดีบุตรลุกขึ้นแต่เช้า ออกจากกรุงราชคฤห์ มีผ้าชุ่ม มีผมเปียก ประคองอัญชลี นอบน้อมทิศทั้งหลาย คือ ทิศเบื้องหน้า ทิศเบื้องขวา ทิศเบื้องหลัง ทิศเบื้องซ้ายทิศเบื้องล่าง ทิศเบื้องบน ฯ
ภาพประกอบจาก AI

ครั้งนั้น เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสกแล้วทรงถือบาตร และจีวรเสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์ ได้ทอดพระเนตรเห็นสิงคาลกคฤหบดีบุตร ซึ่งลุกขึ้นแต่เช้า ออกจากกรุงราชคฤห์ มีผ้าชุ่ม มีผมเปียกประคองอัญชลี นอบน้อมทิศทั้งหลาย คือ ทิศเบื้องหน้า ทิศเบื้องขวา ทิศเบื้องหลัง ทิศเบื้องซ้าย ทิศเบื้องล่าง ทิศเบื้องบนอยู่ แล้วได้ตรัสถามว่าดูกรคฤหบดีบุตร ท่านลุกขึ้นแต่เช้าออกจากกรุงราชคฤห์ มีผ้าชุ่ม มีผมเปียกประคองอัญชลีนอบน้อมทิศทั้งหลาย คือ ทิศเบื้องหน้า ทิศเบื้องขวา ทิศเบื้องหลัง ทิศเบื้องซ้าย ทิศเบื้องล่าง ทิศเบื้องบนอยู่ เพราะเหตุอะไรหนอ ฯ สิงคาลกคฤหบดีบุตรทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คุณพ่อของข้าพระพุทธเจ้าเมื่อใกล้จะตายได้สั่งไว้อย่างนี้ว่า ดูกรพ่อ เจ้าพึงนอบน้อมทิศทั้งหลาย ข้าพระพุทธเจ้าสักการะ เคารพ นับถือ บูชาคำของคุณพ่อ จึงลุกขึ้นแต่เช้าออกจากกรุงราชคฤห์ มีผ้าชุ่ม มีผมเปียก ประคอง อัญชลี นอบน้อมทิศทั้งหลาย คือ ทิศเบื้องหน้า ทิศเบื้องขวา ทิศเบื้องหลัง ทิศเบื้องซ้าย ทิศเบื้องล่าง ทิศเบื้องบนอยู่ ฯ

ภ. ดูกรคฤหบดีบุตร ในวินัยของพระอริยเจ้า เขาไม่นอบน้อมทิศ ๖ กันอย่างนี้ ฯ

สิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในวินัยของพระอริยเจ้าท่านนอบน้อมทิศ ๖ กันอย่างไร ขอประทานโอกาส ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ตามที่ในวินัยของพระอริยเจ้าท่านนอบน้อมทิศ ๖ กันนั้นเถิด ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร ถ้าอย่างนั้น ท่านจงฟัง จงตั้งใจให้ดี เราจักกล่าว ฯ สิงคาลกคฤหบดีบุตร ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรคฤหบดีบุตร อริยสาวกละกรรมกิเลสทั้ง ๔ ได้แล้ว ไม่ทำบาปกรรมโดยฐานะ ๔ และไม่เสพทางเสื่อมแห่งโภคะ ๖ อริยสาวกนั้นเป็นผู้ปราศจากกรรมอันลามก ๑๔ อย่างนี้แล้ว ย่อมเป็นผู้ปกปิดทิศ ๖ ย่อมปฏิบัติเพื่อชำนะโลกทั้งสอง และเป็นอันอริยสาวกนั้นปรารภแล้ว ทั้งโลกนี้และโลกหน้า เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก อริยสาวกนั้นย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ฯ กรรมกิเลส ๔ เป็นไฉน ที่อริยสาวกละได้แล้ว ดูกรคฤหบดีบุตร กรรมกิเลส คือ ปาณาติบาต ๑ อทินนาทาน ๑ กาเมสุมิจฉาจาร ๑ มุสาวาท ๑ กรรมกิเลส ๔ เหล่านี้ ที่อริยสาวกนั้นละได้แล้ว ฯ

พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ ต่อไปอีกว่า

ปาณาติบาต อทินนาทาน มุสาวาท และการคบหาภรรยาผู้อื่น เรากล่าวว่าเป็น
กรรมกิเลส บัณฑิตไม่สรรเสริญ ฯ

อริยสาวกไม่กระทำบาปกรรมโดยฐานะ ๔ เป็นไฉน ปุถุชนถึงฉันทาคติ ย่อมทำกรรมอันลามก ถึงโทสาคติ ย่อมทำกรรมอันลามก ถึงโมหาคติ ย่อมทำกรรมอันลามก ถึงภยาคติ ย่อมทำกรรมอันลามก ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร ส่วนอริยสาวกย่อมไม่ถึงฉันทาคติ ย่อมไม่ถึงโทสาคติ ย่อมไม่ถึงโมหาคติ ย่อมไม่ถึงภยาคติ ท่านย่อมไม่ทำกรรมอันลามกโดยฐานะ ๔ เหล่านี้

พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ ต่อไปอีกว่า

ผู้ใดประพฤติล่วงธรรม เพราะความรัก ความชัง ความกลัว ความหลง
ยศของผู้นั้นย่อมเสื่อม ดังดวงจันทร์ในข้างแรม ผู้ใดไม่ประพฤติล่วงธรรม
เพราะความรัก ความชัง ความกลัว ความหลง ยศย่อมเจริญแก่ผู้นั้น
ดุจดวงจันทร์ในข้างขึ้น ฯ

อริยสาวกย่อมไม่เสพทางเสื่อมแห่งโภคะ ๖ เป็นไฉน ดูกรคฤหบดีบุตร การประกอบเนืองๆ ซึ่งการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เป็นทางเสื่อมแห่งโภคะประการ ๑ การประกอบเนืองๆ ซึ่งการเที่ยวไปในตรอกต่างๆ ในกลางคืน เป็นทางเสื่อมแห่งโภคะประการ ๑ การเที่ยวดูมหรสพเป็นทางเสื่อมแห่งโภคะประการ ๑ การประกอบเนืองๆ ซึ่งการพนันอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เป็นทางเสื่อมแห่งโภคะประการ ๑ การประกอบเนืองๆ ซึ่งการคบคนชั่วเป็นมิตร เป็นทางเสื่อมแห่งโภคะประการ ๑ การประกอบเนืองๆ ซึ่งความเกียจคร้าน เป็นทางเสื่อมแห่งโภคะประการ ๑ ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร โทษในการประกอบเนืองๆ ซึ่งการดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๖ ประการนี้ คือ ความเสื่อมทรัพย์อันผู้ดื่มพึงเห็นเอง ๑ ก่อการทะเลาะวิวาท ๑ เป็นบ่อเกิดแห่งโรค ๑ เป็นเหตุเสียชื่อเสียง ๑ เป็นเหตุไม่รู้จักละอาย ๑ มีบทที่ ๖ คือ เป็นเหตุทอนกำลังปัญญา ๑ ดูกรคฤหบดีบุตร โทษ ๖ ประการในการประกอบเนืองๆ ซึ่งการดื่มน้ำเมาคือ สุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทเหล่านี้แล ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร โทษในการประกอบเนืองๆ ซึ่งการเที่ยวไปในตรอกต่างๆ ในกลางคืน ๖ ประการเหล่านี้ คือ ผู้นั้นชื่อว่าไม่คุ้มครอง ไม่รักษาตัว ๑ ไม่คุ้มครอง ไม่รักษา บุตรภรรยา ๑ ไม่คุ้มครอง ไม่รักษาทรัพย์สมบัติ ๑ เป็นที่ระแวงของคนอื่น ๑ คำพูดอันไม่เป็นจริง ในที่นั้นๆ ย่อมปรากฏในผู้นั้น ๑ อันเหตุแห่งทุกข์เป็นอันมากแวดล้อม ๑ ดูกรคฤหบดีบุตร โทษ ๖ ประการในการประกอบเนืองๆ ซึ่งการเที่ยวไปในตรอกต่างๆ ในเวลากลางคืน เหล่านี้แล ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร โทษในการเที่ยวดูมหรสพ ๖ ประการเหล่านี้คือ รำที่ไหนไปที่นั่น ๑ ขับร้องที่ไหนไปที่นั่น ๑ ประโคมที่ไหนไปที่นั่น ๑ เสภาที่ไหนไปที่นั่น ๑ เพลงที่ไหนไปที่นั่น ๑ เถิดเทิงที่ไหนไปที่นั่น ๑ ดูกรคฤหบดีบุตรโทษ ๖ ประการในการเที่ยวดูมหรสพ เหล่านี้แล ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร โทษในการประกอบเนืองๆ ซึ่งการพนันอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๖ ประการเหล่านี้ คือ ผู้ชนะย่อมก่อเวร ๑ ผู้แพ้ย่อมเสียดายทรัพย์ที่เสียไป ๑ ความเสื่อมทรัพย์ในปัจจุบัน ๑ ถ้อยคำของคนเล่นการพนัน ซึ่งไปพูดในที่ประชุมฟังไม่ขึ้น ๑ ถูกมิตร อมาตย์หมิ่นประมาท ๑ ไม่มีใครประสงค์จะแต่งงานด้วย เพราะเห็นว่าชายนักเลงเล่นการพนันไม่สามารถจะเลี้ยงภรรยา ๑ ดูกรคฤหบดีบุตร โทษ ๖ ประการในการประกอบเนืองๆ ซึ่งการพนันอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทเหล่านี้แล ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร โทษในการประกอบเนืองๆ ซึ่งการคบคนชั่วเป็นมิตร ๖ ประการเหล่านี้ คือ นำให้เป็นนักเลงการพนัน ๑ นำให้เป็นนักเลงเจ้าชู้ ๑ นำให้เป็นนักเลงเหล้า ๑ นำให้เป็นคนลวงผู้อื่นด้วยของปลอม ๑ นำให้เป็นคนโกงเขาซึ่งหน้า ๑ นำให้เป็นคนหัวไม้ ๑ ดูกรคฤหบดีบุตร โทษ ๖ ประการในการประกอบเนืองๆ ซึ่งการคบคนชั่วเป็นมิตรเหล่านี้แล ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร โทษในการประกอบเนืองๆ ซึ่งความเกียจคร้าน ๖ ประการเหล่านี้ คือ มักให้อ้างว่าหนาวนัก แล้วไม่ทำการงาน ๑ มักให้อ้างว่าร้อนนัก แล้วไม่ทำการงาน ๑ มักให้อ้างว่าเวลาเย็นแล้ว แล้วไม่ทำการงาน ๑ มักให้อ้างว่ายังเช้าอยู่ แล้วไม่ทำการงาน ๑ มักให้อ้างว่าหิวนัก แล้วไม่ทำการงาน ๑ มักให้อ้างว่าระหายนัก แล้วไม่ทำการงาน ๑ เมื่อเขามากไปด้วยการอ้างเลศ ผลัดเพี้ยนการงานอยู่อย่างนี้ โภคะที่ยังไม่เกิดก็ไม่เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วก็ถึงความสิ้นไป ดูกรคฤหบดีบุตร โทษ ๖ ประการในการประกอบเนืองๆ ซึ่งความเกียจคร้าน เหล่านี้แล ฯ

พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ ต่อไปอีกว่า

เพื่อนในโรงสุราก็มี เพื่อนกล่าวแต่ปากว่าเพื่อนๆ ก็มี
ส่วนผู้ใดเป็นสหายในเมื่อความต้องการเกิดขึ้นแล้ว ผู้นั้นจัดว่าเป็นเพื่อนแท้
เหตุ ๖ ประการ คือ การนอนสาย ๑ การเสพภรรยาผู้อื่น ๑
ความประสงค์ผูกเวร ๑ ความเป็นผู้ทำแต่สิ่งหาประโยชน์มิได้ ๑ มิตรชั่ว ๑
ความเป็นผู้ตระหนี่เหนียวแน่นนัก ๑ เหล่านี้ ย่อมกำจัดบุรุษเสียจากประโยชน์สุข
ที่จะพึงได้ พึงถึง คนมีมิตรชั่ว มีเพื่อนชั่ว มีมรรยาทและการเที่ยวชั่ว
ย่อมเสื่อมจากโลกทั้งสอง คือ จากโลกนี้และจากโลกหน้า
เหตุ ๖ ประการ คือ การพนันและหญิง ๑ สุรา ๑ ฟ้อนรำขับร้อง ๑
นอนหลับในกลางวันบำเรอตนในสมัยมิใช่การ ๑ มิตรชั่ว ๑
ความตระหนี่เหนียวแน่นนัก ๑ เหล่านี้ ย่อมกำจัดบุรุษเสียจากประโยชน์สุข
ที่จะพึงได้ พึงถึง ชนเหล่าใดเล่นการพนัน ดื่มสุรา เสพหญิงภรรยาที่รักเสมอด้วยชีวิตของผู้อื่น
คบแต่คนต่ำช้า และไม่คบหาคนที่มีความเจริญ
ย่อมเสื่อมเพียงดังดวงจันทร์ในข้างแรม ผู้ใดดื่มสุรา ไม่มีทรัพย์
หาการงานทำเลี้ยงชีวิตมิได้ เป็นคนขี้เมา ปราศจากสิ่งเป็นประโยชน์
เขาจักจมลงสู่หนี้เหมือนก้อนหินจมน้ำ ฉะนั้น จักทำความอากูลแก่ตนทันที
คนมักมีการนอนหลับในกลางวัน เกลียดชังการลุกขึ้น
ในกลางคืนเป็นนักเลงขี้เมาเป็นนิจ ไม่อาจครอบครองเหย้าเรือนให้ดีได้
ประโยชน์ทั้งหลายย่อมล่วงเลย ชายหนุ่มที่ละทิ้งการงาน
ด้วยอ้างเลศว่า หนาวนัก ร้อนนัก เวลานี้เย็นเสียแล้ว ดังนี้เป็นต้น
ส่วนผู้ใดไม่สำคัญความหนาว และความร้อนยิ่งไปกว่าหญ้า ทำกิจของบุรุษอยู่
ผู้นั้นย่อมไม่เสื่อมจากความสุขเลย ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร คน ๔ จำพวกเหล่านี้ คือ คนนำสิ่งของๆ เพื่อนไปถ่ายเดียว ๑ คนดีแต่พูด ๑ คนหัวประจบ ๑ คนชักชวนในทางฉิบหาย ๑ ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตร ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร คนปอกลอก ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตรโดยสถาน ๔ คือ เป็นคนคิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว ๑ เสียให้น้อยคิดเอาให้ได้มาก ๑ ไม่รับทำกิจของเพื่อนในคราวมีภัย ๑ คบเพื่อนเพราะเห็นแก่ประโยชน์ของตัว ๑ ดูกรคฤหบดีบุตร คนปอกลอก ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตรเป็นแต่คนเทียมมิตร โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร คนดีแต่พูด ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตรโดยสถาน ๔ คือ เก็บเอาของล่วงแล้วมาปราศรัย ๑ อ้างเอาของที่ยังไม่มาถึงมาปราศรัย ๑ สงเคราะห์ด้วยสิ่งหาประโยชน์มิได้ ๑ เมื่อกิจเกิดขึ้นแสดงความขัดข้อง ๑

ดูกรคฤหบดีบุตร คนดีแต่พูด ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตรโดยสถาน ๔ เหล่านี้แล ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร คนหัวประจบ ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตรโดยสถาน ๔ คือ ตามใจเพื่อนให้ทำความชั่ว ๑ ตามใจเพื่อนให้ทำความดี ๑ ต่อหน้าสรรเสริญ ๑ ลับหลังนินทา ๑ ดูกรคฤหบดีบุตร คนหัวประจบ ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตรโดยสถาน ๔ เหล่านี้แล ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร คนชักชวนในทางฉิบหาย ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตรโดยสถาน ๔ คือ ชักชวนให้ดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๑ ชักชวนให้เที่ยวตามตรอกต่างๆ ในเวลากลางคืน ๑ ชักชวนให้เที่ยวดูการมหรสพ ๑ ชักชวนให้เล่นการพนันอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๑ ดูกรคฤหบดีบุตร คนชักชวนในทางฉิบหาย ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตรเป็นแต่คนเทียมมิตรโดยสถาน ๔ เหล่านี้แล ฯ

พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ ต่อไปอีกว่า

บัณฑิตรู้แจ้งมิตร ๔ จำพวกเหล่านี้ คือ
มิตรปอกลอก ๑ มิตรดีแต่พูด ๑ มิตรหัวประจบ ๑ มิตรชักชวนในทางฉิบหาย ๑
ว่าไม่ใช่มิตรแท้ ดังนี้แล้ว พึงเว้นเสียให้ห่างไกล
เหมือนคนเดินทางเว้นทางที่มีภัย ฉะนั้น ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร มิตร ๔ จำพวกเหล่านี้ คือ มิตรมีอุปการะ ๑ มิตรร่วมสุข ร่วมทุกข์ ๑ มิตรแนะประโยชน์ ๑ มิตรมีความรักใคร่ ๑ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรมีใจดี ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร มิตรมีอุปการะ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้โดยสถาน ๔ คือ รักษาเพื่อนผู้ประมาทแล้ว ๑ รักษาทรัพย์สมบัติของเพื่อนผู้ประมาทแล้ว ๑ เมื่อมีภัยเป็นที่พึ่งพำนักได้ ๑ เมื่อกิจที่จำต้องทำเกิดขึ้นเพิ่มทรัพย์ให้สองเท่า ๑ ดูกรคฤหบดีบุตร มิตรมีอุปการะ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้โดยสถาน ๔ คือ บอกความลับแก่เพื่อน ๑ ปิดความลับของเพื่อน ๑ ไม่ละทิ้งในเหตุอันตราย ๑ แม้ชีวิตก็อาจสละเพื่อประโยชน์แก่เพื่อนได้ ๑ ดูกรคฤหบดีบุตร มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร มิตรแนะประโยชน์ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้โดยสถาน ๔ คือ ห้ามจากความชั่ว ๑ ให้ตั้งอยู่ในความดี ๑ ให้ได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง ๑ บอกทางสวรรค์ให้ ๑ ดูกรคฤหบดีบุตร มิตรแนะประโยชน์ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร มิตรมีความรักใคร่ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้โดยสถาน ๔ คือ ไม่ยินดีด้วยความเสื่อมของเพื่อน ๑ ยินดีด้วยความเจริญของเพื่อน ๑ ห้ามคนที่กล่าวโทษเพื่อน ๑ สรรเสริญคนที่สรรเสริญเพื่อน ๑ ดูกรคฤหบดีบุตร มิตรมีความรักใคร่ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล ฯ

พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ ต่อไปอีกว่า

บัณฑิตรู้แจ้งมิตร ๔ จำพวกเหล่านี้ คือ มิตรมีอุปการะ ๑ มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ ๑
มิตรแนะประโยชน์ ๑ มิตรมีความรักใคร่ ๑ ว่าเป็นมิตรแท้ ฉะนี้แล้ว
พึงเข้าไปนั่งใกล้โดยเคารพเหมือนมารดากับบุตร ฉะนั้น
บัณฑิตผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ย่อมรุ่งเรืองส่องสว่างเพียงดังไฟ
เมื่อบุคคลออมโภคสมบัติอยู่เหมือนแมลงผึ้งผนวกรัง
โภคสมบัติย่อมถึงความสั่งสมดุจจอมปลวกอันตัวปลวกก่อขึ้น ฉะนั้น
คฤหัสถ์ในตระกูลผู้สามารถ ครั้นสะสมโภคสมบัติได้อย่างนี้แล้ว
พึงแบ่งโภคสมบัติออกเป็นสี่ส่วน เขาย่อมสมานมิตรไว้ได้
พึงใช้สอยโภคสมบัติด้วยส่วนหนึ่ง พึงประกอบการงานด้วยสองส่วน
พึงเก็บส่วนที่สี่ไว้ด้วย หมายว่าจักมีไว้ในยามอันตราย ดังนี้ ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร ก็อริยสาวกเป็นผู้ปกปิดทิศทั้ง ๖ อย่างไร ท่านพึงทราบทิศ ๖ เหล่านี้ คือ พึงทราบมารดาบิดาว่าเป็นทิศเบื้องหน้า อาจารย์เป็นทิศเบื้องขวา บุตรและภรรยาเป็นทิศเบื้องหลัง มิตรและอำมาตย์เป็นทิศเบื้องซ้ายทาสและกรรมกรเป็นทิศเบื้องต่ำ สมณพราหมณ์เป็นทิศเบื้องบน ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร มารดาบิดาผู้เป็นทิศเบื้องหน้าอันบุตรพึงบำรุงด้วยสถาน ๕ คือ ด้วยตั้งใจไว้ว่าท่านเลี้ยงเรามา เราจักเลี้ยงท่านตอบ ๑ จักรับทำกิจของท่าน ๑ จักดำรงวงศ์สกุล ๑ จักปฏิบัติตนให้เป็นผู้สมควรรับทรัพย์มรดก ๑ ก็หรือเมื่อท่านละไปแล้ว ทำกาลกิริยาแล้ว จักตามเพิ่มให้ซึ่งทักษิณา ๑ ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร มารดาบิดาผู้เป็นทิศเบื้องหน้าอันบุตรบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์บุตรด้วยสถาน ๕ คือ ห้ามจากความชั่ว ๑ ให้ตั้งอยู่ในความดี ๑ ให้ศึกษาศิลปวิทยา ๑ หาภรรยาที่สมควรให้ ๑ มอบทรัพย์ให้ในสมัย ๑ ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร มารดาบิดาผู้เป็นทิศเบื้องหน้าอันบุตรบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์บุตรด้วยสถาน ๕ เหล่านี้ ทิศเบื้องหน้านั้น ชื่อว่าอันบุตรปกปิดให้เกษมสำราญ ให้ไม่มีภัยด้วยประการฉะนี้ ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร อาจารย์ผู้เป็นทิศเบื้องขวาอันศิษย์พึงบำรุงด้วยสถาน ๕ คือ ด้วยลุกขึ้นยืนรับ ๑ ด้วยเข้าไปยืนคอยรับใช้ ๑ ด้วยการเชื่อฟัง ๑ ด้วยการปรนนิบัติ ๑ ด้วยการเรียนศิลปวิทยาโดยเคารพ ๑ ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร อาจารย์ผู้เป็นทิศเบื้องขวาอันศิษย์บำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์ศิษย์ด้วยสถาน ๕ คือ แนะนำดี ๑ ให้เรียนดี ๑ บอกศิษย์ด้วยดีในศิลปวิทยาทั้งหมด ๑ ยกย่องให้ปรากฏในเพื่อนฝูง ๑ ทำความป้องกันในทิศทั้งหลาย ๑ ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร อาจารย์ผู้เป็นทิศเบื้องขวาอันศิษย์บำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์ศิษย์ด้วยสถาน ๕ เหล่านี้ ทิศเบื้องขวานั้น ชื่อว่าอันศิษย์ปกปิดให้เกษมสำราญ ให้ไม่มีภัยด้วยประการฉะนี้ ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร ภรรยาผู้เป็นทิศเบื้องหลังอันสามีพึงบำรุงด้วยสถาน ๕ คือ ด้วยยกย่องว่าเป็นภรรยา ๑ ด้วยไม่ดูหมิ่น ๑ ด้วยไม่ประพฤตินอกใจ ๑ ด้วยมอบความเป็นใหญ่ให้ ๑ ด้วยให้เครื่องแต่งตัว ๑ ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร ภรรยาผู้เป็นทิศเบื้องหลังอันสามีบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์สามีด้วยสถาน ๕ คือ จัดการงานดี ๑ สงเคราะห์คนข้างเคียงของผัวดี ๑ ไม่ประพฤตินอกใจผัว ๑ รักษาทรัพย์ที่ผัวหามาได้ ๑ ขยันไม่เกียจคร้านในกิจการทั้งปวง ๑ ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร ภรรยาผู้เป็นทิศเบื้องหลังอันสามีบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์สามีด้วยสถาน ๕ เหล่านี้ ทิศเบื้องหลังนั้น ชื่อว่าอันสามีปกปิดให้เกษมสำราญ ให้ไม่มีภัยด้วยประการฉะนี้ ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร มิตรผู้เป็นทิศเบื้องซ้ายอันกุลบุตรพึงบำรุงด้วยสถาน ๕ คือ ด้วยการให้ปัน ๑ ด้วยเจรจาถ้อยคำเป็นที่รัก ๑ ด้วยประพฤติประโยชน์ ๑ ด้วยความเป็นผู้มีตนเสมอ ๑ ด้วยไม่แกล้งกล่าวให้คลาดจากความจริง ๑ ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร มิตรผู้เป็นทิศเบื้องซ้ายอันกุลบุตรบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรด้วยสถาน ๕ คือ รักษามิตรผู้ประมาทแล้ว ๑ รักษาทรัพย์ของมิตรผู้ประมาทแล้ว ๑ เมื่อมิตรมีภัยเอาเป็นที่พึ่งพำนักได้ ๑ ไม่ละทิ้งในยามวิบัติ ๑ นับถือตลอดถึงวงศ์ของมิตร ๑ ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร มิตรผู้เป็นทิศเบื้องซ้ายอันกุลบุตรบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรด้วยสถาน ๕ เหล่านี้ ทิศเบื้องซ้ายนั้น ชื่อว่าอันกุลบุตรปกปิดให้เกษมสำราญ ให้ไม่มีภัยด้วยประการฉะนี้ ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร ทาสกรรมกรผู้เป็นทิศเบื้องต่ำอันนายพึงบำรุงด้วยสถาน ๕ คือ ด้วยจัดการงานให้ทำตามสมควรแก่กำลัง ๑ ด้วยให้อาหารและรางวัล ๑ ด้วยรักษาในคราวเจ็บไข้ ๑ ด้วยแจกของมีรสแปลกประหลาดให้กิน ๑ ด้วยปล่อยในสมัย ๑ ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร ทาสกรรมกรผู้เป็นทิศเบื้องต่ำอันนายบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์นายด้วยสถาน ๕ คือ ลุกขึ้นทำการงานก่อนนาย ๑ เลิกการงานทีหลังนาย ๑ ถือเอาแต่ของที่นายให้ ๑ ทำการงานให้ดีขึ้น ๑ นำคุณของนายไปสรรเสริญ ๑ ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร ทาสกรรมกรผู้เป็นทิศเบื้องต่ำอันนายบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์นายด้วยสถาน ๕ เหล่านี้ ทิศเบื้องต่ำนั้น ชื่อว่าอันนายปกปิดให้เกษมสำราญ ให้ไม่มีภัย ด้วยประการฉะนั้น ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร สมณพราหมณ์ผู้เป็นทิศเบื้องบนอันกุลบุตรพึงบำรุงด้วยสถาน ๕ คือ ด้วยกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ๑ ด้วยวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ๑ ด้วยมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ๑ ด้วยความเป็นผู้ไม่ปิดประตู ๑ ด้วยให้อามิสทานเนืองๆ ๑ ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร สมณพราหมณ์ผู้เป็นทิศเบื้องบนอันกุลบุตรบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรด้วยสถาน ๖ คือ ห้ามไม่ให้ทำความชั่ว ๑ ให้ตั้งอยู่ในความดี ๑ อนุเคราะห์ด้วยน้ำใจอันงาม ๑ ให้ได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง ๑ ทำสิ่งที่เคยฟังแล้วให้แจ่มแจ้ง ๑ บอกทางสวรรค์ให้ ๑ ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร สมณพราหมณ์ผู้เป็นทิศเบื้องบนอันกุลบุตรบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรด้วยสถาน ๖ เหล่านี้ ทิศเบื้องบนนั้น ชื่อว่าอันกุลบุตร ปกปิดให้เกษมสำราญ ให้ไม่มีภัย ด้วยประการฉะนี้ ฯ

พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ ต่อไปอีกว่า

มารดาบิดาเป็นทิศเบื้องหน้า อาจารย์เป็นทิศเบื้องขวา
บุตรภรรยาเป็นทิศเบื้องหลัง มิตรอำมาตย์เป็นทิศเบื้องซ้าย
ทาสกรรมกรเป็นทิศเบื้องต่ำ สมณพราหมณ์เป็นทิศเบื้องบน
คฤหัสถ์ในสกุลผู้สามารถควรนอบน้อมทิศ เหล่านี้
บัณฑิตผู้ถึงพร้อมด้วยศีลเป็นคนละเอียดและมีไหวพริบ
มีความประพฤติเจียมตนไม่ดื้อกระด้าง ผู้เช่นนั้นย่อมได้ยศ
คนหมั่น ไม่เกียจคร้านย่อมไม่หวั่นไหว ในอันตรายทั้งหลาย
คนมีความประพฤติไม่ขาดสาย มีปัญญา ผู้เช่นนั้นย่อมได้ยศ
คนผู้สงเคราะห์ แสวงหามิตรที่ดี รู้เท่าถ้อยคำที่เขากล่าว ปราศจากตระหนี่
เป็นผู้แนะนำแสดงเหตุผลต่างๆ เนืองๆ ผู้เช่นนั้นย่อมได้ยศ
การให้ ๑ เจรจาไพเราะ ๑ การประพฤติให้เป็นประโยชน์ ๑
ความเป็นผู้มีตนเสมอในธรรมทั้งหลาย ในคนนั้นๆ ตามควร ๑
ธรรมเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจในโลกเหล่านี้แล เป็นเหมือนสลักรถอันแล่นไปอยู่
ถ้าธรรมเครื่องยึดเหนี่ยวเหล่านี้ไม่พึงมีไซร้ มารดาและบิดาไม่พึงได้ความนับถือ
หรือความบูชาเพราะเหตุแห่งบุตร เพราะบัณฑิตทั้งหลายพิจารณาเห็น
ธรรมเครื่องยึดเหนี่ยวเหล่านี้โดยชอบ ฉะนั้น บัณฑิตเหล่านั้นจึงถึง
ความเป็นใหญ่และเป็นผู้อันหมู่ชนสรรเสริญทั่วหน้า ดังนี้ ฯ

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสฉะนี้แล้ว สิงคาลกคฤหบดีบุตรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืด ด้วยคิดว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูป ฉันใด พระผู้มีพระภาคทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย ฉันนั้น เหมือนกัน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงจำข้าพระพุทธเจ้าว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัย เป็นสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉะนี้แล ฯ

จบ สิงคาลกสูตร ที่ ๘
แหล่งข้อมูลอ้างอิง: บทความนี้สำเนาข้อมูลต้นฉบับจาก https://suttacentral.net/dn31/th/siam_rath?lang=th&reference=none&highlight=false
Meriko Kojic X Glutaplus Body Cream วิตามิน C,E

ช่วยให้ผิวดูขาวกระจ่างใสใน 7 วัน! ซื้อ 2 กระปุกใหญ่ ในราคาเพียง 590 บาท จากปกติ 1,180 บาท

สั่งซื้อเลย

อุปเนยยสูตรที่ ๓ ชีวิตคืออายุมีประมาณน้อย ถูกต้อนเข้าไปเรื่อย


สังยุตตนิกาย
สคาถวรรค
เทวตาสังยุต
นฬวรรคที่ ๑

อุปเนยยสูตรที่ ๓

เทวดานั้น ครั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า
ชีวิตคืออายุมีประมาณน้อย ถูกต้อนเข้าไปเรื่อย เมื่อบุคคลถูกชราต้อนเข้าไปแล้ว ย่อมไม่มีผู้ป้องกัน บุคคลเมื่อเห็นภัยนี้ในมรณะ พึงทำบุญทั้งหลายที่นำความสุขมาให้ ฯ
ชีวิตคืออายุมีประมาณน้อย ถูกต้อนเข้าไปเรื่อย เมื่อบุคคลถูกชราต้อนเข้าไปแล้ว ย่อมไม่มีผู้ป้องกัน บุคคลเมื่อเห็นภัยนี้ในมรณะ พึงละอามิสในโลกเสีย มุ่งสันติเถิด ฯ

"กุศลกรรมบท 10 สำคัญแค่ไหน ทำไมใครๆ ก็พูดถึง?"

กุศลกรรมบท 10 เป็นหลักธรรมสำคัญในพระพุทธศาสนา ซึ่งกล่าวถึงวิธีการปฏิบัติที่นำไปสู่ความดีงามและชีวิตที่มีความสุขทั้งในปัจจุบันและอนาคต หลักนี้ได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวางเพราะเป็นพื้นฐานของการสร้างบุญกุศลและลดบาปกรรมในชีวิตประจำวัน 

หลักสำคัญของกุศลกรรมบท 10 คือการแสดงออกถึงความคิด การกระทำ และคำพูดที่ดี โดยแบ่งออกเป็น 3 ด้านคือ กายกรรม 3 วจีกรรม 4 และมโนกรรม 3 ดังนี้: 
↘️ กายกรรม (การกระทำทางกาย) 3 
ข้อ 1. ไม่ฆ่าสัตว์ - การเคารพชีวิตและไม่เบียดเบียนสัตว์อื่น 
ข้อ 2. ไม่ลักทรัพย์ - การเคารพในทรัพย์สินของผู้อื่น 
ข้อ 3. ไม่ประพฤติผิดในกาม - การมีความสัมพันธ์ในกรอบของศีลธรรม 
↘️ วจีกรรม (การกระทำทางวาจา) 4 
ข้อ 4. ไม่พูดเท็จ - การพูดความจริงและรักษาสัจจะ 
ข้อ 5. ไม่พูดส่อเสียด - การไม่ยุแหย่ให้ผู้อื่นทะเลาะกัน 
ข้อ 6. ไม่พูดคำหยาบ - การพูดจาไพเราะและสุภาพ 
ข้อ 7. ไม่พูดเพ้อเจ้อ - การพูดที่มีประโยชน์และเหมาะสม 
↘️ มโนกรรม (การกระทำทางใจ) 3 
ข้อ 8. ไม่โลภอยากได้ของผู้อื่น - การมีความพอใจในสิ่งที่ตนเองมี 
ข้อ 9. ไม่พยาบาท - การไม่คิดร้ายต่อผู้อื่น 
ข้อ 10. มีความเห็นถูกต้อง - การมีทัศนคติที่ถูกต้องตามหลักธรรม 

🙏 ความสำคัญของกุศลกรรมบท 10 
1. สร้างความสงบสุขในสังคม: หากทุกคนปฏิบัติตามหลักนี้ ความขัดแย้งและปัญหาต่าง ๆ จะลดลง 
2. พัฒนาจิตใจให้สูงขึ้น: เป็นการฝึกจิตให้หลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นโทษ และเพิ่มพูนคุณธรรมในตน 
3. เป็นพื้นฐานของศีลธรรม: ช่วยให้บุคคลมีความประพฤติดีงาม ทั้งในมิติส่วนตัวและสังคม 
4. เตรียมความพร้อมสู่การปฏิบัติธรรมขั้นสูง: เป็นบันไดสู่การเข้าถึงปัญญาและนิพพาน 

🙏 เหตุผลที่ใคร ๆ พูดถึงกุศลกรรมบท 10 
  • เป็นหลักธรรมที่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน 
  • เป็นพื้นฐานของการดำรงชีวิตอย่างมีศีลธรรม 
  • เหมาะสำหรับการพัฒนาตนเองในทุกระดับ ตั้งแต่คนทั่วไปจนถึงนักปฏิบัติธรรม 
  • ช่วยสร้างบุญกุศลและผลดีทั้งในชาตินี้และชาติหน้า การปฏิบัติตามกุศลกรรมบท 10 จึงเป็นเหมือน "คู่มือชีวิต" ที่ทำให้คนสามารถดำรงตนในสังคมได้อย่างสงบสุข และพัฒนาจิตใจให้ดียิ่งขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงที่สุดของการพ้นทุกข์ในทางพระพุทธศาสนา
วิทยุธรรม

➡️สนับสนุนสินค้าเรา

สั่งซื้อเลย

มรรค 8: เส้นทางสู่ความดับทุกข์-buddha-dhamma-18-11-2567

หนังสือชุดพุทธวจน
สั่งซื้อเลย

มรรค 8: เส้นทางสู่ความดับทุกข์

มรรค 8 หรือ อริยมรรคมีองค์ 8 เป็นแนวทางปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบและทรงสอน เพื่อนำพาผู้ปฏิบัติให้หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง มรรค 8 นี้เปรียบเสมือนแผนที่ที่ชี้ทางไปสู่ความสงบสุขและความหลุดพ้นจากวัฏฏสงสาร

มรรค 8 ประกอบด้วยองค์ประกอบ 8 ประการ ดังนี้

  1. สัมมาทิฏฐิ: ความเห็นชอบ หมายถึง การมีความเห็นที่ถูกต้องเกี่ยวกับความจริงของชีวิต เช่น การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค
  2. สัมมาสังกัปปะ: ความดำริชอบ หมายถึง การมีความคิดที่ถูกต้อง ไม่มีความคิดที่จะเบียดเบียนผู้อื่น ไม่มีความคิดที่จะทำสิ่งที่ผิด
  3. สัมมาวาจา: การเจรจาชอบ หมายถึง การพูดแต่สิ่งที่เป็นจริง ไม่พูดปด ไม่นินทา ไม่พูดคำหยาบ
  4. สัมมากัมมันตะ: การกระทำชอบ หมายถึง การกระทำที่ถูกต้อง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม
  5. สัมมาอาชีวะ: การเลี้ยงชีพชอบ หมายถึง การประกอบอาชีพที่สุจริต ไม่เบียดเบียนผู้อื่น
  6. สัมมาวายามะ: ความพยายามชอบ หมายถึง การพยายามที่จะละทิ้งอกุศล และเจริญกุศล
  7. สัมมาสติ: การระลึกชอบ หมายถึง การมีสติระลึกอยู่เสมอในกาย เวทนา จิต และธรรม
  8. สัมมาสมาธิ: ความตั้งจิตมั่นชอบ หมายถึง การตั้งจิตให้สงบ และมีสมาธิจดจ่ออยู่ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง

ความสำคัญของมรรค 8

  • เป็นเส้นทางสายกลาง: มรรค 8 ไม่ได้เป็นการปฏิบัติที่เคร่งครัดเกินไป หรือหย่อนยานเกินไป แต่เป็นการปฏิบัติที่พอดี
  • ครอบคลุมทุกด้านของชีวิต: มรรค 8 ครอบคลุมทั้งความคิด พูด ทำ และการดำเนินชีวิตประจำวัน
  • นำไปสู่ความหลุดพ้น: การปฏิบัติตามมรรค 8 อย่างสม่ำเสมอ จะนำไปสู่ความดับทุกข์ และความหลุดพ้นจากวัฏฏสงสาร

การปฏิบัติตามมรรค 8

การปฏิบัติตามมรรค 8 นั้น ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องอาศัยความเพียรพยายาม และความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง การเริ่มต้นปฏิบัติอาจจะเริ่มจากการฝึกสติในชีวิตประจำวัน เช่น การเดินจงกรม การนั่งสมาธิ หรือการฝึกหายใจ

คำถามเพิ่มเติม:

  • คุณต้องการทราบรายละเอียดเกี่ยวกับองค์ประกอบใดของมรรค 8 มากขึ้น?
  • คุณต้องการทราบวิธีการปฏิบัติตามมรรค 8 อย่างละเอียด?
  • คุณมีคำถามอื่นๆ เกี่ยวกับมรรค 8 หรือไม่?

หมายเหตุ: ข้อมูลนี้เป็นเพียงภาพรวมของมรรค 8 หากต้องการศึกษาเพิ่มเติม ควรศึกษาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น พระไตรปิฎก หรือหนังสือที่เกี่ยวข้อง

คำแนะนำ: การปฏิบัติธรรมที่ดีที่สุด คือการปฏิบัติร่วมกับพระภิกษุสงฆ์ หรือผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในพระพุทธศาสนา

ต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติมไหมคะ?

คำสำคัญ: มรรค 8, อริยมรรค, พุทธศาสนา, ความดับทุกข์, สัมมาทิฏฐิ, สัมมาสังกัปปะ, สัมมาวาจา, สัมมากัมมันตะ, สัมมาอาชีวะ, สัมมาวายามะ, สัมมาสติ, สัมมาสมาธิ

#มรรค8 #พุทธศาสนา #ธรรมะ #ความดับทุกข์ #พุทธวจน

ขอให้เจริญในธรรมค่ะ

อ้างอิง: https://g.co/gemini/share/c67379352761

คำสอนของพระพุทธเจ้านั้นรู้ไว้ให้ถูกต้อง ส่วนการปฏิบัติให้ยึดทางสายกลาง ถูกต้องหรือไม่?-AIสอนธรรม17-11-2567

หนังสือ"มรรค(วิธี)ที่ง่าย"

แนะนำหนังสือพุทธวจน

สั่งซื้อเลย


คำถามนี้สอดคล้องกับหลักธรรมสำคัญที่พระพุทธเจ้าทรงสอน คือ อริยมรรคมีองค์แปด ซึ่งเป็นการเดินทางสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา) โดยไม่เอียงไปในสองสุดโต่ง ทั้งในด้านการเสพกามและการทรมานตนเอง

ใน ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร (SN 56.11) พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ว่า:

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การดำเนินตามทางสุดโต่งสองอย่างนี้ เป็นสิ่งที่ผู้แสวงหาความรู้ควรละทิ้งเสีย คือ การหมกมุ่นในกามสุขและการทรมานตนให้ลำบาก… ทางสายกลางที่เราได้ตรัสรู้นี้ ให้ปัญญา ให้ความสงบ ให้ปัญญาชำแรกกิเลสให้ถึงนิพพาน” 

https://suttacentral.net/sn56.11

การปฏิบัติตามทางสายกลางนั้นหมายถึงการรักษาความสมดุล ไม่สุดโต่งไปในความสุขทางโลกหรือการบำเพ็ญตบะจนร่างกายลำบาก ซึ่งจะนำไปสู่การมีศีล สมาธิ และปัญญา

ความหมายที่เกี่ยวข้องในคำถาม

  1. การรู้ให้ถูกต้อง – การมี สัมมาทิฏฐิ หรือความเห็นชอบในอริยมรรค ซึ่งก็คือการมีความเข้าใจที่ถูกต้องในธรรมะ เช่น ความจริงของทุกข์ (ทุกข์) เหตุของทุกข์ (สมุทัย) ความดับทุกข์ (นิโรธ) และหนทางปฏิบัติไปสู่การดับทุกข์ (มรรค) การรู้ให้ถูกต้องจึงหมายถึงการศึกษาธรรมและการปฏิบัติให้เข้าใจตามความเป็นจริง
  1. การปฏิบัติตามทางสายกลาง – การเดินตาม อริยมรรคมีองค์แปด ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ ซึ่งเป็นแนวทางการปฏิบัติเพื่อการพัฒนาคุณธรรมและการละกิเลส

ดังนั้น คำกล่าวที่ว่า "การรู้ให้ถูกต้อง" และ "การปฏิบัติตามทางสายกลาง" นั้น เป็นหลักธรรมที่ถูกต้อง และสอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าตรัสรูธรรมเพื่อการหลุดพ้นทุกข์ ธรรมะนั้นชื่ออะไร?

GPT

พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมเพื่อการหลุดพ้นจากทุกข์ซึ่งเราเรียกว่า อริยสัจ 4 หรือความจริงอันประเสริฐทั้งสี่ ซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ธรรมะนี้ประกอบด้วยความจริงสี่ประการ ได้แก่


  1. ทุกข์ (Dukkha) – ความจริงของทุกข์ หมายถึงความไม่สบายกายและใจทั้งหลายที่เราประสบในชีวิต ความไม่สมหวัง ความเกิดแก่เจ็บตาย เป็นต้น
  2. สมุทัย (Samudaya) – ความจริงของเหตุแห่งทุกข์ หมายถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ซึ่งก็คือ ตัณหา หรือความทะยานอยาก ความยึดมั่นในสิ่งต่าง ๆ
  3. นิโรธ (Nirodha) – ความจริงของการดับทุกข์ หมายถึงสภาวะที่ปลอดจากทุกข์ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเราสามารถดับเหตุแห่งทุกข์ได้
  4. มรรค (Magga) – ความจริงของหนทางดับทุกข์ หมายถึงหนทางการปฏิบัติเพื่อไปสู่การหลุดพ้นทุกข์ ซึ่งเรียกว่า อริยมรรคมีองค์แปด หรือทางสายกลาง

ใน ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร (SN 56.11) พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงอริยสัจ 4 เป็นครั้งแรกแก่ปัญจวัคคีย์ ซึ่งเป็นการประกาศธรรมะที่เป็นหลักสำคัญของพระพุทธศาสนา:

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสัจ 4 นี้แล คือทุกข์ อริยสัจว่าด้วยทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ อริยสัจว่าด้วยเหตุแห่งทุกข์ ความดับแห่งทุกข์ อริยสัจว่าด้วยความดับแห่งทุกข์ หนทางอันประเสริฐอันนำไปสู่ความดับแห่งทุกข์ อริยสัจว่าด้วยหนทางอันประเสริฐนั้น" https://suttacentral.net/sn56.11

อริยสัจ 4 เป็นธรรมะที่ชี้นำให้เราพ้นจากทุกข์โดยการรู้จักทุกข์ เห็นเหตุแห่งทุกข์ เข้าใจถึงสภาวะดับทุกข์ และปฏิบัติตามหนทางที่นำไปสู่การหลุดพ้น

ที่มา: https://chatgpt.com/share/6739bd5a-b658-800d-ac59-2c7e78bcf29e


อวิชชาปัจจยาสังขารา เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร





อวิชชา: ปัจจัยที่เป็นเหตุให้เกิดสังขารและการปรุงแต่งจิต


อวิชชาเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้มนุษย์ยึดมั่นในความเชื่อผิด ๆ และปรุงแต่งการกระทำ ซึ่งวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏไม่รู้จบ

อวิชชา: ทำไมความไม่รู้จึงนำไปสู่สังขาร?

อวิชชาในพุทธศาสนาหมายถึง "ความไม่รู้" หรือการขาดปัญญาที่เข้าใจความจริงของธรรมชาติ ความจริงนั้นคือการเข้าใจอนิจจัง (ความไม่เที่ยง) ทุกขัง (ความเป็นทุกข์) และอนัตตา (การไม่มีตัวตน) อวิชชานี้จึงนำไปสู่การปรุงแต่งหรือสังขาร ซึ่งเป็นการกระทำ ความคิด หรือคำพูดที่เกิดขึ้นจากการขาดความเข้าใจในธรรมชาติ

เพราะอวิชชาเป็นความไม่รู้ที่มองโลกตามทิศทางของกิเลส เช่น ความโลภ โกรธ หลง มนุษย์จึงมักปรุงแต่งจิตและกระทำในสิ่งที่นำไปสู่ความทุกข์ ตัวอย่างเช่น ความไม่รู้ทำให้เรายึดมั่นในความสุขชั่วคราว คิดว่ามันจะอยู่กับเราอย่างยั่งยืน เมื่อความสุขนั้นจางหายไป เราจึงตกอยู่ในความทุกข์ สังขารเหล่านี้เกิดจากความพยายามในการเติมเต็มความต้องการที่ไม่มีวันสิ้นสุด และวนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร

การทำลายอวิชชาโดยปัญญาคือการที่เราสามารถตระหนักรู้และเข้าใจถึงธรรมชาติที่แท้จริงของชีวิต ซึ่งจะทำให้สังขารลดน้อยลง และไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป

อธิบายการเกิดของจิต มโนวิญญาณ ตามพุทธวจน

ในพุทธวจนะ มีการอธิบายถึง “จิต” “มโน” และ “วิญญาณ” ในแง่ของกระบวนการรับรู้และการเกิดขึ้นของความรู้สึกและการรับรู้อย่างละเอียด 

โดยทั้งสามคำนี้มีความสัมพันธ์กันในกระบวนการของจิตใจและการรับรู้ของมนุษย์ โดยแต่ละคำมีความหมายและหน้าที่ที่ต่างกันไปบ้าง ดังนี้: 
 1. จิต (Citta) จิต หมายถึง สภาพการรับรู้หรืออารมณ์ที่เกิดขึ้นในขณะหนึ่ง ๆ ตามพุทธวจนะ จิตเป็นสภาวะที่สามารถแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ไม่คงที่ และมีลักษณะคือเกิดขึ้นและดับไปในทุกขณะ เป็นสิ่งที่ถูกกระทบโดยอารมณ์และสิ่งต่างๆ จิตสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามการฝึกฝนและพัฒนา ซึ่งในการปฏิบัติธรรม พุทธเจ้าทรงสอนให้พยายามพัฒนาและฝึกฝนจิตให้เกิดความสงบและปล่อยวาง ใน ธัมมปท พระพุทธเจ้าตรัสถึงความสำคัญของการฝึกฝนจิตว่า: 
 > “จิตนี้แล เป็นสิ่งที่เร่าร้อน สั่นไหว ปรุงแต่งง่าย แต่หากใครรู้จักฝึกฝน ควบคุมจิตนี้ได้ จิตนั้นย่อมสามารถนำมาซึ่งสุขได้อย่างแท้จริง” การฝึกจิตให้สงบ เป็นการควบคุมความคิดและความรู้สึกให้รู้จักสภาวะของการปล่อยวาง ไม่ให้ยึดติดอยู่กับสิ่งใด 
 2. มโน (Mano) มโน หมายถึง “ใจ” หรือ "เครื่องปรุงแต่ง" เป็นฐานของความคิด การวิเคราะห์ และการแยกแยะ มโนทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการจัดการข้อมูลและอารมณ์ที่เข้ามาปรุงแต่งให้เป็นความคิดหรือการตัดสินใจ พระพุทธเจ้าตรัสว่า มโนมีบทบาทในการปรุงแต่งอารมณ์และสรรพสิ่งต่างๆ ให้เกิดการยึดติดหรือการสร้างกรรม เช่น การมองเห็นสิ่งใดแล้วมีความชอบหรือชังขึ้นในใจ จนเกิดการกระทำและผลของการกระทำนั้น ใน มชฺฌิมนิกาย พระพุทธเจ้าตรัสถึงบทบาทของมโนว่า:
 > “มโนเป็นสภาพที่ปรุงแต่ง ยึดถืออารมณ์ จึงเกิดเป็นการกระทำ (กรรม) และส่งผล (วิบาก) ให้ผู้กระทำตามอารมณ์ที่ยึดถือ” ดังนั้น การตระหนักถึงบทบาทของมโน จึงมีความสำคัญในการลดการยึดติดและหลุดพ้นจากความทุกข์ 
 3. วิญญาณ (Viññāṇa) วิญญาณ คือ “การรับรู้” หรือ “ความรู้สึกตัว” ซึ่งหมายถึงการรับรู้หรือสำนึกในสิ่งต่างๆ ที่เข้ามากระทบทางอายตนะทั้ง 6 (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) พระพุทธเจ้าอธิบายว่า วิญญาณเกิดขึ้นจากการสัมผัสของอายตนะภายนอกกับอายตนะภายใน ตัวอย่างเช่น เมื่อดวงตามองเห็นรูป วิญญาณทางตาจึงเกิดขึ้น หรือเมื่อหูได้ยินเสียง วิญญาณทางหูก็เกิดขึ้น วิญญาณจึงเป็นผลของการกระทบอายตนะทั้งหลาย ใน สังยุตตนิกาย พระพุทธเจ้าตรัสว่า: 
 > “เมื่อมีอายตนะภายใน (อินทรีย์) และมีอารมณ์ภายนอก (รูป เสียง กลิ่น ฯลฯ) วิญญาณย่อมเกิดขึ้น ณ ที่นั้น และเมื่อไม่มีอายตนะและอารมณ์นั้น วิญญาณย่อมดับไป” 

 ดังนั้น จิต มโน และวิญญาณจึงเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทางจิตใจที่มีความสัมพันธ์กันในการรับรู้ ปรุงแต่ง และการยึดติด ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถนำไปสู่ความทุกข์ได้ หากไม่ได้รับการฝึกฝนและควบคุมอย่างถูกต้อง

วิเคราะห์คำสอน "ทุกข์" (Dukkha), "อนิจจัง" (Anicca), และ "นันทิ" (Nandi)" ที่ปรากฏในพระไตรปิฏก

ความหมาย"ทุกข์ อนิจจัง และ นันทิ: คำสอนสำคัญ-ในพระไตรปิฏกและพุทธวจน"

"วิเคราะห์คำสอนสำคัญ 3 คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า: ทุกข์ อนิจจัง และนันทิ ผ่านมุมมองในพระไตรปิฏก และความสำคัญของคำเหล่านี้ในชีวิตประจำวัน"


วิเคราะห์คำสอน "ทุกข์ อนิจจัง และ นันทิ" ที่ปรากฏในพระไตรปิฏก

คำสอนในพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในพระไตรปิฏกสะท้อนถึงแก่นแท้ของชีวิต และแนะนำวิธีเพื่อเข้าใจความจริงของโลกผ่านการตระหนักรู้ใน "ทุกข์" (Dukkha), "อนิจจัง" (Anicca), และ "นันทิ" (Nandi) คำเหล่านี้มีบทบาทสำคัญต่อการเข้าใจและปฏิบัติในแนวทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงสอน ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสัดส่วนการปรากฏและความสำคัญ ดังนี้


ทุกข์ (Dukkha) - ประมาณ 40%

คำว่า "ทุกข์" หมายถึง ความทุกข์ ความไม่สบายใจ ความไม่พอใจในชีวิตหรือสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติ พระพุทธเจ้าได้ทรงชี้ว่า ทุกสิ่งในชีวิตมีทุกข์ โดยเป็นส่วนหนึ่งของ “อริยสัจ 4” ซึ่งกล่าวถึงทุกข์และหนทางที่ทำให้พ้นทุกข์ การยอมรับและเข้าใจในทุกข์เป็นขั้นแรกในการละความยึดติด และหาทางที่จะดับทุกข์


อนิจจัง (Anicca) - ประมาณ 35%

"อนิจจัง" หมายถึงความไม่เที่ยง ความเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งที่ไม่มีอะไรคงที่ พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ทุกสิ่งในโลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นสุข ทุกข์ หรือสภาพแวดล้อมทั้งหลาย การเข้าใจและยอมรับความไม่แน่นอนนี้ช่วยลดความยึดติด ความทุกข์ใจ และการเกาะเกี่ยวในสิ่งที่ไม่ถาวร


นันทิ (Nandi) - ประมาณ 25%

"นันทิ" หรือความพอใจ ความติดอยู่ในความสุข พระพุทธเจ้าสอนว่า การยึดติดในนันทิหรือความสุขแม้เพียงเล็กน้อยทำให้ใจเราผูกพันอยู่กับสิ่งต่าง ๆ ซึ่งนำไปสู่การยึดมั่นในสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน ดังนั้นการเข้าใจว่าความสุขก็เป็นอนิจจังเช่นกันจะช่วยให้จิตใจเป็นอิสระมากขึ้น


บทวิเคราะห์

ทั้งสามคำสอนนี้ถือเป็นหัวใจของคำสอนในพระพุทธศาสนาและช่วยชี้นำให้ผู้ปฏิบัติเข้าใจธรรมชาติของชีวิต พระพุทธเจ้าทรงเน้นให้เราเห็นถึงความจริงของทุกข์ ความไม่เที่ยง และการปล่อยวางความยึดติด เมื่อเราตระหนักรู้และเข้าใจความหมายของทุกข์ อนิจจัง และนันทิ เราสามารถฝึกจิตให้ลดความยึดมั่นและก้าวสู่การดับทุกข์อย่างแท้จริง

คำค้นหา:  "คำสอนในพระไตรปิฏก ทุกข์ อนิจจัง นันทิ คำสำคัญที่พระพุทธเจ้าสอน พระไตรปิฏก ธรรมะ ความหมายคำสอนทางพระพุทธศาสนา"


แหล่งศึกษาเพิ่มเติม: "ละนันทิ “ จิตหลุดพ้น ” พ้นจากความ เกิด แก่ เจ็บ ตาย โดย พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสติพโล วัดนาป่าพงศ์

หัวข้อที่พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสติพโล วัดนาป่าพงศ์ พูดถึงในวิดีโอนี้เกี่ยวกับ “จิตหลุดพ้น” ซึ่งเป็นสภาวะที่จิตสามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ ความเกิด แก่ เจ็บ และตายได้ โดยการสอนจะเน้นไปที่แนวทางการปฏิบัติและการทำความเข้าใจเรื่องจิตใจและธรรมะอย่างลึกซึ้งตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า

สรุปประเด็นสำคัญ

1. แนวคิดเรื่องจิตหลุดพ้น - พระอาจารย์อธิบายถึงแนวทางที่ทำให้จิตหลุดพ้นจากสังสารวัฏ หรือความเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งเป็นการปลดปล่อยจิตจากความยึดมั่นและตัวตนที่ทำให้เกิดทุกข์ และสภาวะนี้สามารถบรรลุได้ด้วยการปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า

2. การเข้าใจสัจธรรม - การเรียนรู้สัจธรรมคือการเข้าใจถึงสภาพธรรมชาติที่แท้จริงของชีวิต ที่ทุกสิ่งไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน และไม่สามารถยึดมั่นถือมั่นได้ การรับรู้ความจริงเหล่านี้ทำให้เราสามารถปฏิบัติต่อชีวิตอย่างไม่ยึดติด และเปิดทางให้จิตสามารถพ้นจากทุกข์ได้

3. การฝึกสมาธิและสติปัฏฐาน 4 - การฝึกสมาธิและการพิจารณาผ่านสติปัฏฐาน 4 ซึ่งเป็นการตั้งสติให้รู้สึกถึงร่างกาย ความรู้สึก จิต และธรรมอย่างถูกต้อง ถือเป็นวิถีทางที่นำไปสู่การหลุดพ้น การพิจารณาตามหลักนี้จะทำให้จิตเข้าใจธรรมชาติของทุกข์และเกิดปัญญาในการปล่อยวาง

4. ปล่อยวางความยึดมั่น - สิ่งสำคัญในการหลุดพ้นคือการไม่ยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งใด พระอาจารย์ชี้ให้เห็นว่าการยึดมั่นในตัวตน ความคิด หรือสิ่งภายนอกเป็นตัวสร้างทุกข์ หากเราสามารถปล่อยวางได้ จิตจะหลุดพ้นจากพันธนาการและเข้าถึงความสงบอย่างแท้จริง

บทสรุป

คำสอนนี้ของพระอาจารย์คึกฤทธิ์เน้นถึงความสำคัญของการปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้นอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงแค่ความรู้เชิงทฤษฎีเท่านั้น การทำความเข้าใจและปฏิบัติตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าได้สอน โดยเฉพาะการพิจารณาและการฝึกสติ สมาธิ จะเป็นเครื่องนำทางให้จิตหลุดพ้นจากทุกข์ได้ในที่สุด

บทสวด:สัชฌายะปฏิจจสมุปบาท พร้อมคำแปลไทย

ปฎิจจสมุปบาท

บทสวด:ปฏิจจสมุปบาท

สัชฌายะปฏิจจสมุปบาท พร้อมคำแปลไทย

อิธะ ภิกขะเว อะริยะสาวะโก ปะฏิจจะสะมุปปาทัญเญวะ สาธุกัง โยนิโส มะนะสิกะโรติ

👉 ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมกระทำไว้ในใจ

โดยแยบคายเป็นอย่างดี ซึ่งปฏิจจสมุปบาทนั่นเทียว ดังนี้ว่า

อิมัส๎มิง สะติ อิทัง โหติ

👉 เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ย่อมมี

อิมัสสุปปาทา อิทัง อุปปัชชะติ

👉 เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น

อิมัส๎มิง อะสะติ อิทัง นะ โหติ

👉 เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี

อิมัสสะ นิโรธา อิทัง นิรุชฌะติ

👉 เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป

ยะทิทัง

👉 ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ

อะวิชชาปัจจะยา สังขารา

👉 เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย

สังขาระปัจจะยา วิญญาณัง

👉 เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ

วิญญาณะปัจจะยา นามะรูปัง

👉 เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป

นามะรูปะปัจจะยา สะฬายะตะนัง

👉 เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ

สะฬายะตะนะปัจจะยา ผัสโส

👉 เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ

ผัสสะปัจจะยา เวทะนา

👉 เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา

เวทะนาปัจจะยา ตัณหา

👉 เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา

ตัณหาปัจจะยา อุปาทานัง

👉 เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน

อุปาทานะปัจจะยา ภะโว

👉 เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ

ภะวะปัจจะยา ชาติ

👉 เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ

ชาติปัจจะยา ชะรามะระณัง โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสา สัมภะวันติ

👉 เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะปริเทวะทุกขโทมนัส

อุปายาสะทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน

เอวะเมตัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะสะมุทะโย โหติ

👉 ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้

อะวิชชายะเต๎ววะ อะเสสะวิราคะนิโรธา สังขาระนิโรโธ

👉 เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือ

แห่งอวิชชานั้นนั่นเทียว จึงมีความดับแห่งสังขาร

สังขาระนิโรธา วิญญาณะนิโรโธ

👉 เพราะมีความดับแห่งสังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ

วิญญาณะนิโรธา นามะรูปะนิโรโธ

👉 เพราะมีความดับแห่งวิญญาณ จึงมีความดับแห่งนามรูป

นามะรูปะนิโรธา สะฬายะตะนะนิโรโธ

👉 เพราะมีความดับแห่งนามรูป จึงมีความดับแห่งสฬายตนะ

สะฬายะตะนะนิโรธา ผัสสะนิโรโธ

👉 เพราะมีความดับแห่งสฬายตนะ จึงมีความดับแห่งผัสสะ

ผัสสะนิโรธา เวทะนานิโรโธ

👉 เพราะมีความดับแห่งผัสสะ จึงมีความดับแห่งเวทนา

นานิโรธา ตัณหานิโรโธ

👉 เพราะมีความดับแห่งเวทนา จึงมีความดับแห่งตัณหา

ตัณหานิโรธา อุปาทานะนิโรโธ

👉 เพราะมีความดับแห่งตัณหา จึงมีความดับแห่งอุปาทาน

อุปาทานะนิโรธา ภะวะนิโรโธ

👉 เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ

ภะวะนิโรธา ชาตินิโรโธ

👉 เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ

ชาตินิโรธา ชะรามะระณัง โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสา นิรุชฌันติ

👉 เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล ชรา มรณะ

โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสะทั้งหลาย จึงดับสิ้น

เอวะเม ตัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ นิโรโธ โหตีติ

👉 ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้

เอวะเม ตัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ นิโรโธ โหตีติ

👉 ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้

ข้อคิดประจำวัน: การฝึกเจริญโยนิโสมนสิการ (การใส่ใจโดยแยบคาย)

การฝึกโยนิโสมนสิการ: การใส่ใจโดยแยบคายเพื่อการพัฒนาจิตและปัญญาตามพระไตรปิฎก

ใน มัชฌิมนิกาย (พระสูตรที่ 2) พระพุทธเจ้าได้เน้นถึงความสำคัญของการใส่ใจโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) ในการพัฒนาจิตใจ การใส่ใจโดยแยบคายช่วยให้เราหลีกเลี่ยงสภาวะทางจิตที่ไม่ดีงาม และส่งเสริมการเจริญสภาวะที่ดีงาม ซึ่งหมายถึงการพิจารณาสิ่งต่าง ๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วน จนกระทั่งเกิดปัญญาและความเข้าใจที่ถูกต้อง


มีพระพุทธพจน์ที่สำคัญว่า:

"ภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดที่ใส่ใจโดยไม่แยบคาย ธรรมะอันเป็นกุศลที่ยังไม่เกิดก็จะเกิดขึ้น ธรรมะอันเป็นอกุศลที่เกิดขึ้นแล้วก็จะเจริญมากขึ้น แต่ผู้ที่ใส่ใจโดยแยบคาย ธรรมะอันเป็นอกุศลที่ยังไม่เกิดก็จะไม่เกิดขึ้น ธรรมะอันเป็นกุศลที่เกิดขึ้นแล้วก็จะเจริญงอกงาม"

(มัชฌิมนิกาย พระสูตรที่ 2)


การฝึก โยนิโสมนสิการ หรือการใส่ใจโดยแยบคาย คือการพิจารณาให้ลึกซึ้งถึงรากของสิ่งต่าง ๆ เพื่อทำความเข้าใจสภาพความเป็นจริง และไม่หลงไปกับสิ่งที่รบกวนจิตใจ เมื่อคุณเผชิญกับความคิด ความรู้สึก หรือสถานการณ์ใด ๆ ลองหยุดพิจารณาด้วยโยนิโสมนสิการว่า “สิ่งนี้เป็นประโยชน์หรือไม่? จะนำไปสู่ความทุกข์หรือความสงบสุข?”


เริ่มวันนี้ด้วยการฝึกใส่ใจโดยแยบคายในเรื่องเล็ก ๆ เช่น อารมณ์ นิสัย หรือการตัดสินใจ และคุณจะพบว่ามันนำไปสู่ความชัดเจนและความสุขที่มากขึ้น


การฝึกโยนิโสมนสิการ: การใส่ใจโดยแยบคายเพื่อพัฒนาจิตและปัญญา

โยนิโสมนสิการ หรือการใส่ใจโดยแยบคาย เป็นหลักการสำคัญที่พระพุทธเจ้าได้สอนในการพัฒนาจิตใจและปัญญา ในพระสูตร มัชฌิมนิกาย (พระสูตรที่ 2) พระองค์ทรงกล่าวถึงการใส่ใจโดยแยบคายว่าเป็นการพิจารณาสิ่งต่าง ๆ อย่างละเอียดลึกซึ้ง เพื่อให้เกิดความเข้าใจในธรรมะอย่างถูกต้อง และเป็นการหลีกเลี่ยงความคิดหรือพฤติกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์

การฝึกโยนิโสมนสิการ: การใส่ใจโดยแยบคายเพื่อการพัฒนาจิตและปัญญาตามพระไตรปิฎก


โยนิโสมนสิการ หรือการใส่ใจโดยแยบคาย เป็นหลักธรรมสำคัญที่พบในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนไว้อย่างชัดเจนใน มัชฌิมนิกาย (พระสูตรที่ 2) ว่าการใส่ใจโดยแยบคายคือวิธีที่นำไปสู่การพัฒนาปัญญาและความเข้าใจที่ลึกซึ้ง การใส่ใจโดยแยบคายเป็นกระบวนการสำคัญในการสำรวจสาเหตุของปรากฏการณ์ต่าง ๆ และนำไปสู่การพ้นจากความทุกข์


ในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าทรงกล่าวถึงโยนิโสมนสิการว่าเป็นการใส่ใจที่นำไปสู่การเจริญธรรมะ โดยการใส่ใจแบบนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอกุศลธรรม หรือสภาวะทางจิตใจที่ไม่ดีงาม ขณะเดียวกันจะช่วยเพิ่มพูนกุศลธรรม คือสภาวะที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาจิตใจ


พระพุทธพจน์ในมัชฌิมนิกาย (พระสูตรที่ 2) ได้กล่าวไว้ว่า:


"ภิกษุทั้งหลาย สำหรับบุคคลที่ไม่ใส่ใจโดยแยบคาย ธรรมะที่ไม่ดีงามที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้น ธรรมะที่ไม่ดีงามที่เกิดขึ้นแล้วจะทวีมากขึ้น แต่สำหรับบุคคลที่ใส่ใจโดยแยบคาย ธรรมะที่ไม่ดีงามจะไม่เกิดขึ้น ธรรมะที่ดีงามที่เกิดขึ้นแล้วจะเจริญมากขึ้น"

(มัชฌิมนิกาย, พระสูตรที่ 2)


จากพระพุทธพจน์นี้ การใส่ใจโดยแยบคายจึงมีบทบาทสำคัญในกระบวนการพัฒนาจิตใจ ทำให้จิตหลุดพ้นจากความหลง ความโลภ และความโกรธ การใส่ใจโดยแยบคายเป็นทักษะที่ฝึกฝนได้ โดยเน้นไปที่การพิจารณาและตรวจสอบความคิด การกระทำ และการตอบสนองของเราในทุกสถานการณ์


การใส่ใจโดยแยบคายในชีวิตประจำวัน:


การพิจารณาความคิด: ทุกครั้งที่เกิดความคิดหรืออารมณ์ ให้หยุดและใส่ใจโดยแยบคายว่า ความคิดนั้นเกิดขึ้นเพราะอะไร มีเหตุใดเป็นที่ตั้ง แล้วพิจารณาว่าจะนำไปสู่ความทุกข์หรือความสงบสุข

การฝึกสติอยู่เสมอ: การมีสติในทุกกิจกรรมจะช่วยให้เราสามารถใส่ใจโดยแยบคายและเห็นความเป็นจริงของสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจนมากขึ้น

การตัดสินใจด้วยโยนิโสมนสิการ: ก่อนตัดสินใจสิ่งใด ให้พิจารณาให้ลึกซึ้งว่าสิ่งนั้นจะนำพาเราไปสู่ความสุขและความเจริญในธรรมะหรือไม่

ประโยชน์ของการฝึกโยนิโสมนสิการ

การใส่ใจโดยแยบคายช่วยให้เราพัฒนาจิตใจที่มั่นคงและมีปัญญาที่เฉียบคมขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์ การฝึกฝนทักษะนี้อย่างต่อเนื่องจะทำให้เราสามารถเผชิญหน้ากับปัญหาและความท้าทายในชีวิตได้อย่างมีสติ และช่วยให้เราตัดสินใจเลือกทางที่นำไปสู่ความสงบสุขและสันติในจิตใจ การปฏิบัติธรรมโดยใช้โยนิโสมนสิการเป็นแนวทางที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำในพระไตรปิฎก ว่าเป็นหนทางที่ทำให้ชีวิตของเรามีความสมดุลทางจิตใจและนำไปสู่การเจริญในธรรมะอย่างยั่งยืน


การฝึกฝนโยนิโสมนสิการในการปฏิบัติธรรม

การฝึกโยนิโสมนสิการยังเป็นทักษะสำคัญในการเจริญสมาธิและปัญญา เมื่อฝึกฝนการพิจารณาในสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอกด้วยโยนิโสมนสิการ จิตจะเริ่มเห็นความเป็นจริงตามที่มันเป็น ความโลภ ความโกรธ และความหลงจะเริ่มลดน้อยลง การปฏิบัติตามแนวทางนี้เป็นการพัฒนาจิตให้ตระหนักถึงเหตุและผลของสิ่งต่าง ๆ และทำให้เราไม่ยึดติดกับอารมณ์และความคิดที่ก่อให้เกิดทุกข์


การใส่ใจโดยแยบคายตามพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกนั้นเป็นพื้นฐานของการปฏิบัติธรรมที่สามารถนำพาชีวิตไปสู่ความเจริญทางจิตใจและความสงบในระยะยาว


ความหมายและความสำคัญของบทสวดอิติปิโสในพุทธศาสนา-The meaning and significance of the Itipiso prayer in Buddhism.

อิติปิโส

บทสวด "อิติปิโส" เป็นบทสวดสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในพุทธศาสนาเถรวาท บทนี้ถูกใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาต่างๆ รวมถึงการสวดมนต์ในชีวิตประจำวันของชาวพุทธ เป็นการสรรเสริญถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า โดยการระลึกถึงคุณธรรมสูงสุดที่พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญมา

บทสวดอิติปิโส:

อิติปิ โส ภควา อรหัง สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุทฺโธ ภควาติ

คำแปล:

“เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีใครยิ่งกว่า เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระผู้มีพระภาคเจ้า”


 การสรรเสริญคุณธรรมสำคัญของพระพุทธเจ้าในบทอิติปิโส


1. อรหัง: พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้สิ้นกิเลสโดยสิ้นเชิง ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้ท่านกลับเข้าสู่สังสารวัฏอีก พระองค์เป็นผู้หลุดพ้นจากความโลภ ความโกรธ และความหลง


2. สัมมาสัมพุทโธ: พระพุทธองค์เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง ไม่ต้องมีครูบาอาจารย์สอน ทรงบรรลุถึงสัจธรรมของชีวิตและการดับทุกข์


3. วิชชาจรณสมฺปนฺโน: พระพุทธองค์เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชา (ความรู้ที่สมบูรณ์) และจรณะ (การประพฤติที่บริสุทธิ์) แสดงถึงการมีความรู้ลึกซึ้งและการประพฤติปฏิบัติที่ดีงามควบคู่กัน


4. สุคโต: พระพุทธองค์เป็นผู้ไปดีแล้ว ทรงมุ่งหน้าสู่จุดหมายอันสูงสุดแห่งนิพพาน และยังเป็นผู้ไปในทางที่ดีงาม ถูกต้อง


5. โลกวิทู: พระพุทธองค์เป็นผู้รู้แจ้งโลก ไม่เพียงแค่ทางปัญญา แต่ยังรวมถึงการเข้าใจธรรมชาติของจิตใจและธรรมชาติของความทุกข์ในโลกนี้


6. อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ: พระพุทธองค์เป็นสารถีที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการฝึกสอนบุรุษที่ควรฝึก ทรงมีความสามารถในการแนะนำและนำพาผู้คนให้หลุดพ้นจากความทุกข์


7. สตฺถา เทวมนุสฺสานํ: พระพุทธองค์เป็นครูของทั้งเทวดาและมนุษย์ แสดงถึงบทบาทของท่านในฐานะผู้สอนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกและสวรรค์


8. พุทฺโธ: พระพุทธองค์ทรงเป็น "ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน" ด้วยสติปัญญาอันบริสุทธิ์ที่ได้ตรัสรู้ถึงสัจธรรม


9. ภควา: พระพุทธองค์เป็นผู้มีภาคยศ (มีความเจริญรุ่งเรืองในคุณธรรม) แสดงถึงความเป็นพระอรหันต์และความสมบูรณ์ทางจิตวิญญาณ


 ปรากฏในพระไตรปิฎก

บทสวด "อิติปิโส" มีความสำคัญในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า (พุทธานุสสติ) ปรากฏใน พระวินัยปิฎก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระไตรปิฎก นอกจากนี้ การระลึกถึงพระพุทธคุณที่กล่าวในบทสวดนี้ยังเป็นแนวทางในการฝึกฝนจิตใจของผู้ปฏิบัติ เป็นการตั้งจิตสำนึกให้ระลึกถึงคุณธรรมสูงสุดที่พระพุทธองค์ทรงบรรลุ และเป็นการเสริมสร้างสติ สมาธิ และปัญญา


การสวดมนต์ "อิติปิโส" ยังเป็นการเจริญสติอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเจริญ พุทธานุสสติ ซึ่งหมายถึงการระลึกถึงพระพุทธเจ้าเพื่อสร้างศรัทธาและสมาธิในจิตใจของผู้สวด ด้วยการระลึกถึงคุณธรรมอันสูงส่งของพระพุทธเจ้า ผู้ปฏิบัติจึงสามารถปล่อยวางกิเลสและพัฒนาปัญญาในการพิจารณาธรรม


 ความสำคัญในพุทธศาสนา

บทสวดอิติปิโสไม่เพียงแต่ใช้ในการสวดมนต์หรือพิธีกรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องเตือนใจให้ชาวพุทธได้น้อมระลึกถึงคุณธรรมและความเป็นพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ท่านทรงเป็นแบบอย่างในการดำรงชีวิตที่ปราศจากกิเลส และทรงชี้ทางสว่างให้กับผู้ที่ต้องการหลุดพ้นจากทุกข์


การระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้าโดยการสวด "อิติปิโส" จึงเป็นการบ่มเพาะคุณธรรมในใจผู้ปฏิบัติ และเป็นวิธีการที่ช่วยให้จิตใจสงบและมีสติพร้อมที่จะปฏิบัติธรรมในทุกวัน


สัตว์ในสังสารวัฏ: ความหมาย เหตุให้เกิด ลักษณะของการเกิด และคติ ๕: Animals in samsara: The meaning of the nature of birth and motto 5

 

 ๙. ความหมายของคำว่า “สัตว์”  
ในทางพระพุทธศาสนา คำว่า "สัตว์" หมายถึง สิ่งมีชีวิตที่มีจิตใจหรือวิญญาณ ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนการเกิดและการดำรงอยู่ในภพต่าง ๆ ทั้งนี้ "สัตว์" ในที่นี้ไม่จำกัดเฉพาะมนุษย์ แต่รวมถึงสัตว์เดรัจฉาน เทวดา และสรรพสิ่งในวัฏจักรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด หรือ สังสารวัฏ.

 ๑๐. เหตุให้มีการเกิด  
การเกิดของสัตว์ทั้งหลายนั้นมีเหตุปัจจัยมาจาก อวิชชา (ความไม่รู้) และ ตัณหา (ความทะยานอยาก) ที่เป็นรากเหง้าของการเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ โดยอวิชชาเป็นเหตุให้เกิดความยึดมั่นในตนและสิ่งต่าง ๆ ส่วนตัณหาทำให้จิตยึดถือและต้องการในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสต่างๆ ซึ่งเมื่อเกิดความยึดติดก็เป็นเหตุให้ต้องเวียนเกิดเวียนตายต่อไป

พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องนี้ใน ปฏิจจสมุปบาท ซึ่งแสดงถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้มีการเกิด (ชาติ) โดยเริ่มจาก อวิชชา นำไปสู่การกระทำ (กรรม) ที่ทำให้เกิดผล คือการเกิดในภพใหม่

 “เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี... เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี”

 ๑๑. ลักษณะของการเกิด  
ลักษณะของการเกิดมีหลายรูปแบบตามภพภูมิที่สัตว์เวียนว่ายอยู่ เช่น การเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา สัตว์เดรัจฉาน หรือในนรก ขึ้นอยู่กับกรรมที่กระทำในอดีตชาติ การเกิดนี้ไม่จำเป็นต้องหมายถึงการเกิดทางกายภาพเสมอไป แต่ยังหมายถึงการเกิดในภาวะทางจิตใจ เช่น การเกิดความโกรธ ความหลง หรือความสุข ซึ่งเป็นผลจากเหตุปัจจัยทางจิตใจและกรรม

 ๑๒. กายแบบต่างๆ  
ในคำสอนของพระพุทธเจ้า ทรงกล่าวถึงกาย 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ  
1. รูปกาย คือร่างกายทางกายภาพที่เราสามารถเห็นและสัมผัสได้
2. นามกาย คือกายทางจิตที่ประกอบด้วยจิตใจ ความรู้สึก ความจำ และการรับรู้ (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)

สัตว์ที่เกิดในภพภูมิต่างๆ อาจมีลักษณะของกายแตกต่างกันตามภพภูมิที่อยู่ เช่น เทวดามีรูปกายละเอียดกว่ามนุษย์ แต่ยังมีความทุกข์และการเกิดดับเช่นกัน

 ๑๓. คติ ๕ และอุปมา  
คติ ๕ หมายถึงภพภูมิที่สัตว์สามารถเกิดได้ตามกรรม ได้แก่  
1. นรกภูมิ – ที่อยู่ของสัตว์ที่ทำกรรมหนัก ต้องเสวยทุกข์  
2. เปรตภูมิ – ที่อยู่ของสัตว์ผู้มีความทุกข์และความหิวโหย  
3. อสุรกายภูมิ – ที่อยู่ของสัตว์ที่มีความทุเรศและทุกข์ทรมาน  
4. สัตว์เดรัจฉานภูมิ – ที่อยู่ของสัตว์ที่ต้องเวียนว่ายอยู่ในโลก  
5. มนุษย์ภูมิ – ภพภูมิของมนุษย์ที่มีโอกาสสร้างบุญบารมี

อุปมา พระพุทธเจ้าทรงใช้การเปรียบเทียบหลายอย่าง เช่น การเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏดั่งใบไม้ที่ร่วงหล่นหรือท้องทะเลที่ไม่มีที่สิ้นสุด สะท้อนถึงความยากลำบากในการหลุดพ้นจากวัฏจักรแห่งการเกิดดับ

ความหมายของภพและการเกิดใหม่ในพระพุทธศาสนา: ภพ, ตัณหา, กรรม และวิญญาณ-The Meaning of Existence and Rebirth in Buddhism:

 

 ๑. ภพเป็นอย่างไร

ในพระพุทธศาสนา "ภพ" หมายถึง การมีอยู่ของรูปหรือสภาพความเป็นตัวตนในสามภพ ซึ่งแบ่งเป็น 3 อย่าง ได้แก่:

1. กามภพ - ภพที่เกิดขึ้นในภพที่ยังมีความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส และสิ่งสัมผัส

2. รูปภพ - ภพของผู้ที่เกิดในสภาวะที่มีรูป แต่ปราศจากความยินดีในกาม

3. อรูปภพ - ภพที่เกิดขึ้นในสภาวะที่ไม่มีรูป มีเพียงจิตล้วนๆ 

ใน มัชฌิมนิกาย มหาตัณหาสังขยสูตร พระพุทธเจ้าตรัสถึงภพว่า ภพคือการเกิดของอัตตาและสรรพสิ่งที่สืบต่อในรูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, และวิญญาณ นี่คือภพที่ก่อให้เกิดการเกิดใหม่ในวัฏฏะ.

 ๒. ความมีขึ้นแห่งภพ (นัยที่ ๑)

การมีขึ้นของภพเกิดจาก ตัณหา (ความอยาก) ที่เป็นสาเหตุสำคัญ ซึ่งเป็นต้นเหตุของความมีภพใหม่ ตัณหาแบ่งเป็น 3 อย่าง:

1. กามตัณหา - ความอยากในกาม

2. ภวตัณหา - ความอยากในความเป็นและการมีอยู่

3. วิภวตัณหา - ความอยากไม่ให้มีหรือไม่เป็น 

ใน สังยุตตนิกาย นิทานสังยุตต์ (SN 12.2), พระพุทธเจ้าตรัสว่า "เพราะตัณหาจึงมีภพ" ซึ่งหมายความว่า ตัณหาทำให้เกิดความติดในชีวิต และนำไปสู่การเวียนว่ายในวัฏฏะสงสาร.

 ๓. ความมีขึ้นแห่งภพ (นัยที่ ๒)

ในอีกนัยหนึ่ง ความมีขึ้นของภพยังเกิดจาก กรรม ที่กระทำไว้ทั้งดีและชั่ว กรรมเหล่านี้เป็นพลังงานที่ส่งผลให้เกิดการมีภพใหม่ตามสมบัติของกรรมที่ได้กระทำไว้ ดังที่กล่าวใน อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต (AN 3.76) พระพุทธเจ้าตรัสว่า: "สิ่งที่ยึดถือไว้ย่อมไปสู่ภพ กรรมเป็นสิ่งที่นำไปสู่การเวียนว่ายอยู่ในภพใหม่".

 ๔. เครื่องนำไปสู่ภพ

เครื่องนำไปสู่ภพ คือ ตัณหา ที่ขับเคลื่อนให้เกิดการยึดมั่นในสังขาร และก่อให้เกิดภพใหม่ ซึ่งจะนำไปสู่ความเกิด, แก่, เจ็บ, และตาย การมีเครื่องยึดเหนี่ยวเป็นความอยากในภพนั้นทำให้คนยังเวียนว่ายในสังสารวัฏต่อไป.

ใน สังยุตตนิกาย นิทานสังยุตต์ (SN 12.2) พระพุทธเจ้าตรัสว่า: "ตัณหาคือรากเหง้าและเหตุที่ก่อให้เกิดภพ, การมีอยู่ของชีวิต". 

 ๕. ความเกิดขึ้นแห่งภพใหม่

การเกิดภพใหม่เกิดขึ้นจากการที่วิญญาณยึดติดกับขันธ์ทั้งห้า ซึ่งเกิดจากการยึดมั่นในกาม, ภวะ, และวิภวะ. ภพใหม่เกิดขึ้นจากวิญญาณที่ยังติดอยู่ในกิเลสและกรรมที่ได้กระทำมา. 


 ๖. ที่ตั้งอยู่ของวิญญาณ (นัยที่ ๑)

วิญญาณต้องอาศัย รูปขันธ์ (เช่น ร่างกาย) และ จิต เพื่อให้ดำรงอยู่ วิญญาณจึงเกิดและตั้งอยู่ได้ต้องมีสภาวะที่เกิดจากการกระทำของขันธ์ทั้งห้า ดังที่กล่าวไว้ใน มหาตัณหาสังขยสูตร ว่า "วิญญาณย่อมเกิดขึ้นด้วยอาศัยปัจจัยทั้งหลาย".


 ๗. ที่ตั้งอยู่ของวิญญาณ (นัยที่ ๒)

อีกนัยหนึ่ง วิญญาณต้องการการยึดเหนี่ยวในกิเลสและตัณหาที่เป็นพลังงานทางจิต วิญญาณนี้จะไม่สามารถตั้งอยู่ได้หากปราศจากเครื่องยึดเหนี่ยว เช่น กามตัณหา หรือภวตัณหา.


 ๘. ความมีขึ้นแห่งภพ แม้มีอยู่ชั่วขณะก็น่ารังเกียจ

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ภพนั้นเต็มไปด้วยทุกข์ แม้จะมีเพียงชั่วครู่ชั่วยามก็น่ารังเกียจ เพราะภพคือการเกิดใหม่ การเกิดใหม่ย่อมนำไปสู่ความทุกข์ในการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสังสาร เช่นใน ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ที่กล่าวว่า "ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บป่วยเป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์".

การมีอยู่ของภพในแต่ละขณะ คือการเวียนว่ายในทุกข์


Fortune Telling Articles หมอดู: มิจฉา หรือ สัมมาทิฏฐิ? มองผ่านเลนส์แห่งพระไตรปิฎก

หมอดู

บทความ: หมอดู: มิจฉา หรือ สัมมาทิฏฐิ? มองผ่านเลนส์แห่งพระไตรปิฎก

การพึ่งพาหมอดูเพื่อทำนายอนาคตหรือแก้ไขปัญหาชีวิตเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไปในสังคมไทยและหลายสังคมทั่วโลก แต่คำถามที่น่าสนใจคือ การกระทำเช่นนี้สอดคล้องกับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาหรือไม่? บทความนี้จะพยายามวิเคราะห์แนวคิดเรื่องหมอดู โดยใช้หลักธรรมในพระไตรปิฎกเป็นตัวตั้ง เพื่อให้ผู้อ่านได้พิจารณาอย่างรอบด้าน

หมอดูในสายตาของพระพุทธศาสนา

พระพุทธศาสนาสอนให้พึ่งพาตนเองและกรรมที่ตนได้กระทำมา การพึ่งพาสิ่งภายนอก เช่น การไปดูดวง หรือขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้ชีวิตราบรื่นนั้น ถือเป็นการหลงผิดและไม่เป็นไปตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

  • ความไม่แน่นอนของอนาคต: พระพุทธศาสนาสอนว่าอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับกรรมที่เราได้กระทำมา และปัจจุบันที่เราสร้างขึ้น การพยายามจะรู้ล่วงหน้าว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร จึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ และอาจทำให้เราหลงใหลในสิ่งที่ไม่แน่นอน
  • การพึ่งตนเอง: พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราพึ่งพาตนเองในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาตนเอง การพึ่งพาผู้อื่น หรือสิ่งภายนอกมากเกินไป จะทำให้เราขาดความสามารถในการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง
  • ความหลงผิดในอำนาจเหนือธรรมชาติ: การเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติ หรือการที่ผู้อื่นสามารถทำนายอนาคตได้อย่างแม่นยำ เป็นความเชื่อที่ไม่สอดคล้องกับหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา ซึ่งเน้นที่เหตุและผล

สัมมาทิฏฐิ: มุมมองที่ถูกต้อง

สัมมาทิฏฐิ หมายถึงความเห็นที่ถูกต้อง คือการเห็นตามความเป็นจริง ไม่หลงผิดในสิ่งที่ไม่ใช่ความจริง การมีสัมมาทิฏฐิจะนำไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้อง และนำไปสู่ความสุขและความหลุดพ้น

แทนที่จะไปพึ่งพาหมอดู เราควรหันมาพัฒนาตนเองด้วยการศึกษาพระธรรมคำสอน ฝึกปฏิบัติธรรม เพื่อให้เกิดปัญญาและความเข้าใจในธรรมชาติของสิ่งต่างๆ เมื่อเรามีปัญญา เราก็จะสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ในชีวิตได้ด้วยตนเอง

สรุป

การไปหาหมอดูอาจเป็นการให้ความบันเทิง หรือเป็นการปลอบใจ แต่หากเราเชื่อมั่นในคำทำนายของหมอดูมากเกินไป อาจทำให้เราขาดความพยายามในการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง และอาจนำไปสู่ความทุกข์ใจในระยะยาว การปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาสัมมาทิฏฐิ จะเป็นหนทางที่นำไปสู่ความสุขที่แท้จริงและยั่งยืนมากกว่า

คำแนะนำ:

  • ศึกษาพระธรรมคำสอน: การศึกษาพระธรรมคำสอนอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้เราเข้าใจธรรมชาติของชีวิตและสิ่งต่างๆ ได้อย่างลึกซึ้ง
  • ฝึกปฏิบัติธรรม: การฝึกปฏิบัติธรรมจะช่วยให้จิตใจสงบและปัญญาเกิดขึ้น
  • พัฒนาตนเอง: การพัฒนาตนเองในทุกๆ ด้าน จะช่วยให้เรามีความสามารถในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ในชีวิตได้ด้วยตนเอง

ท้ายที่สุดแล้ว การตัดสินใจที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อในหมอดู เป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่การมีสติและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบคอบ ก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเองมากที่สุด

หมายเหตุ: บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อนำเสนอมุมมองเกี่ยวกับการไปหาหมอดูตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ไม่ได้มีเจตนาจะวิจารณ์หรือดูถูกความเชื่อของผู้อื่น

คำสำคัญ: หมอดู, พระไตรปิฎก, สัมมาทิฏฐิ, มิจฉาทิฏฐิ, พุทธศาสนา, การพัฒนาตนเอง

#หมอดู #พระพุทธศาสนา #สัมมาทิฏฐิ #พัฒนาตนเอง

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถศึกษาได้จากพระไตรปิฎก หรือปรึกษาพระภิกษุสงฆ์

หมายเหตุ: บทความนี้เขียนโดย AI โปรดตรวจสอบแหล่งข้อมูลอ้างอิง 

  • ความน่าเชื่อถือ: เลือกแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ หรือหนังสือที่เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญ
  • ความหลากหลาย: พยายามหาแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย เพื่อให้ได้มุมมองที่ครอบคลุม
  • การอ้างอิงที่ถูกต้อง: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าการอ้างอิงเป็นไปตามรูปแบบ APA อย่างถูกต้อง
  • การตีความ: การตีความพระไตรปิฎกอาจมีความแตกต่างกันไป ขอแนะนำให้ปรึกษาพระภิกษุสงฆ์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านพระพุทธศาสนาเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง
  • ทุจริต ๓: อาหารของนิวรณ์ ๕ และวิธีละจากคำสอนพระพุทธเจ้า

    พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึง ทุจริต ๓ (ความประพฤติผิดทางกาย วาจา และใจ) ว่าเป็น "อาหาร" หรือปัจจัยที่เกื้อหนุนนิวรณ์ ๕ ใน อากังเขยยสูตร (...